ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี ที่มีนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชามาเที่ยวที่ปราสาทตาเมือนธมอย่างมีนัยสำคัญ สถานที่ดังกล่าวไม่สามารถที่จะปิดเองได้ต้องรอคำสั่งจากหน่วยงานใช่หรือไม่ว่า อำนาจที่แท้จริงอยู่ที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ส่วนรัฐบาลมีหน้าที่ควบคุมส่วนต่างๆ อยู่แล้ว เวลาที่มีอะไรเกิดขึ้น รัฐบาลรับรู้ทั้งหมด และก่อนหน้านี้ สมช.ได้มอบอำนาจให้กองทัพบก โดยให้ทหาร ซึ่งเป็นด่านหน้า ได้พิจารณาสถานการณ์ว่ามากน้อยหรือรุนแรงมากแค่ไหน โดยขณะนี้นี้ยังใช้มตินี้อยู่
ทั้งนี้ บริเวณประสาทตาเมือนธม ให้อำนาจทหารที่อยู่ในพื้นที่เป็นตัดสินใจให้ปิด หรืออนุญาตให้ท่องเที่ยวใช่หรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า ทุกอย่างยังเป็นไปตามปกติ ยังไม่มีการห้ามหรือไม่ห้าม ตรงปราสาทตาเมือนธมที่ผ่านมา สามารถขึ้นได้ทั้งสองฝ่าย ดังนั้น ขณะนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยกเว้นแต่มีคำสั่ง ซึ่งเป็นเรื่องของแม่ทัพภาคที่ 1 แม่ทัพภาคที่ 2 และกองกำลังจันทบุรี เป็นผู้ตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม การปฎิบัติจะต้องมีการหารือร่วมกันอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า ห่วงหรือไม่ว่าจะเกิดการเผชิญหน้ากัน เพราะมีทั้งชาวกัมพูชาและคนไทยที่ขึ้นไปท่องเที่ยว ภูมิธรรม เชื่อว่า ทางทหารจะสามารถประสานงานได้ นักท่องเที่ยวขึ้นมาตามปกติ และเมื่อถึงเวลาก็ลงตามปกติ ซึ่งสถานการณ์ทั้งหมดอยู่ที่แม่ทัพภาคที่ 2 จะพิจารณาตามความเป็นจริง
เมื่อถามย้ำว่า เป็นหน้าที่ของกองทัพภาคที่สอง ภาคสองเป็นผู้ตัดสินใช่หรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า คงพิจารณาแล้วนำหารือกับกองทัพบก รัฐบาล สมช. ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการ อำนาจอยู่ตรงนี้ให้กองทัพภาคที่สองไปดู แล้วทำเลยก็ได้ แต่ในทางปฏิบัติ เราได้บอกและกำกับวิธีการทำงานไปแล้วซึ่งไม่มีปัญหา
ทั้งนี้ ได้รับรายงานหลังจากที่ไทยยกระดับมาตรการ ขึ้นมาอีกระดับหรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า หากดูจากบรรยากาศในพื้นที่ ประชาชนในชายแดนก็ถึงขนาดเครียดจนแบบน่ากังวลใจ เมื่อวานนี้รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยไปดำเนินการ ซึ่งเราจะดำเนินการทำหลุมหลบภัยให้กับพี่น้องประชาชน โดยให้กระทรวงมหาดไทยไปดูเรื่องความแข็งแรงมากขึ้น
ทั้งนี้ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไทยต้องยกระดับการเพิ่มขึ้น เพราะทหารกัมพูชาเติมกำลังคนและเติมพลังอาวุธ เข้าไปในพื้นที่ มองว่ามีนัยอะไรหรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า ที่ทหารกัมพูชามีอยู่นั้น ไม่ต้องเติมเพราะมีเยอะอยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่สาระที่น่ากลัว เพราะสิ่งที่เขาทำก็เติมเต็มอยู่แล้ว ขณะที่ทางการไทยก็มีการเตรียมกำลังไว้ตั้งแต่มีการเผาศาลาตรีมุข เพราะขณะนั้นกองทัพภาค 2 ต้องไปฝึกกำลังที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จึงได้ปรึกษากับผู้บัญชาการทหารบกให้ฝึกซ้อมในพื้นที่ไม่ต้องเคลื่อนกำลังออกมา และเราก็ได้มีการเสริมกำลังพอสมควรแล้ว ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์จะเห็นว่า เราไม่ได้เติมกำลังอะไร เพราะแค่ที่มีก็เต็มกำลังอยู่แล้ว มีการเตรียมการก่อนที่จะเกิดเหตุดังกล่าวนี้กว่า 6-7 เดือนแล้ว ซึ่งมีกองกำลังอยู่จำนวนเยอะแล้ว แต่ไม่ขอบอกตัวเลข
ส่วนกรณีกลุ่มนักปั่นจักรยานชาวไทย ขึ้นไปยังพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมโดยไม่ได้แจ้งทางฝ่ายกัมพูชาล่วงหน้า โดยกองทัพกัมพูชาระบุว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างสองฝ่ายอย่างชัดเจน เหตุใดทางกัมพูชา จึงเข้าใจว่าประสาทตาเมือนธมเป็นของตัวเอง ภูมิธรรม กล่าวย้อนว่า ทำไมแปลกใจหรอ ไม่เห็นแปลกใจเลย เพราะเขาอ้างว่าเป็นของเขา เขาก็ต้องคิดแบบนั้นอยู่แล้ว เราก็อ้างของเราถึงได้ทะเลาะกัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เขาจะเรียกร้องอยู่แล้ว มันถึงได้เป็นพื้นที่ที่มีปัญหา เขาเคยขึ้นมาอยู่แล้ว ทุกคนเคยขึ้น ซึ่งข้อตกลง MOU 2543 ทุกคนสามารถขึ้นมากราบพระ เมื่อขึ้นมาก็ต้องลงไปเหมือนกันทุกส่วน แต่ขณะนี้เวลาขึ้นมาแล้ว มาแสดงสัญลักษณ์ แสดงความเป็นเจ้าของ ซึ่งตรงนี้เราได้มีการประท้วง ยืนยันว่า ไม่ให้ทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ และที่ผ่านมาเรามีการประท้วงแบบลายลักษณ์อักษรทั้งหมด
สำหรับกรณีที่ สมชัย ศรีสุทธิยากร ออกมาระบุว่า ภูมิธรรม เซ็นรับรองให้ทหารกัมพูชา เข้ามาอยู่ในปราสาทตาเหมือนธม ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ครั้งล่าสุด ภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่ได้ไปเซ็นอะไร ทุกอย่างทำตาม MOU 43 ซึ่งขณะนี้ยังมีขั้นตอน การประชุมคณะกรรมการส่วนภูมิภาค ไทย-กัมพูชา หรือ RBC ซึ่งทางกัมพูชา รอสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาอนุมัติ พร้อมกับขอสมชัยอย่าพูดอะไรบนพื้นฐานที่ไม่ได้อยู่บนข้อเท็จจริง
ส่วนกรณีที่ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เสนอให้ไทยเปิดด่านชายแดนก่อน แล้วกัมพูชาจะเปิดตามใน 5 ชั่วโมง แล้วจะกำลังค่อยหารือเรื่องการปรับกำลัง ภูมิธรรม ระบุว่า เรามีเงื่อนไขและข้อเสนอที่วางไว้ คือลดการเผชิญหน้า ตลอดแนวชายแดน ให้มีการปรับกำลังทั้งสองฝ่าย รวมถึงการเปิดด่านชายแดนทั้งหมด เพื่อให้เข้าสู่สภาวะปกติ ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้จะต้องทำไปพร้อมกันทั้ง 2 ประเทศ โดยการกำหนดวัน-เวลา ทางฝั่งกัมพูชาบอกว่าอำนาจทุกอย่างอยู่ที่สมเด็จฮุนเซนเพียงคนเดียว ซึ่งก็ยอมรับว่าได้มีการเสนอเงื่อนไขตามนั้นจริง ในส่วนของเรา บอกว่าเป็นไปไม่ได้จุดยืนของเราต้องดำเนินการ คือ ให้มีการปรับกำลังก่อนเปิดด่านพร้อมกัน
“จะมาบอกว่า คุณเปิดก่อน เราเปิดก่อน คงไม่ได้ เพราะตอนนี้มันมั่วไปหมดแล้ว ก็ควรจะทำให้พร้อมกัน”
— ภูมิธรรม กล่าว
ภูมิธรรม ย้ำว่า การที่ไทยจะทำอะไรนั้น ต้องคำนึงถึงสายตานานาประเทศด้วย เพราะเราเป็นประเทศที่ใหญ่กว่า เพื่อป้องกันข้อครหาว่าเรารุกรานเขา ในขณะเดียวกันเราก็ยังยืนอยู่ ในการประชุม RBC ที่จะเกิดขึ้น
เมื่อถามว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ที่จะต้องไปพูดคุยกับสมเด็จฮุนเซนเพื่อให้ได้ข้อยุติ ในเรื่องการเปิดด่านพร้อมกันใช่หรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว การจะเปิดด่าน เป็นเรื่องของที่ประชุม RBC ส่วนที่กัมพูชาปิดประตูตายจะไม่ประชุมนั้น มองว่า มันสามารถพูดคุยและเจรจาได้ คำพูดสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอด เมื่อมีปัญหา หรือมีประโยชน์ ก็ต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ต้องคุย และเชื่อว่า จะสามารถพูดคุยกันได้