14 ส.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานจากกรณี ศาลรัฐธรรมนูญ มีกำหนดนัดไต่สวนพยานบุคคลจำนวน 2 ปาก คือ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง และ ฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในวันที่ 21 สิงหาคม 2568 เวลา 10.30 น. ในคดีคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้อง) กับ สมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา
หลังภายประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธธรรมนูญ วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
พร้อมนัดแถลงด้วยวาจาปรึกษาหารือ และลงมติ ในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 เวลา 09.30 น. นัดฟังคำวินิจฉัย เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป
แพทองธาร ได้ยื่นคำชี้แจงคดีนี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยยืนยันว่า การกระทำของตนเองตามข้อกล่าวหาของผู้ร้อง ไม่เป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการการเมือง พ.ศ. 2564 แต่อย่างใด อีกทั้งการกระทำของตนเองก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนในความสุจริตและเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งแต่ประการใด พร้อมขอให้ศาลฯ ออกคำสั่งยกเลิกการให้ตนหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ด้วย
อย่างไรก็ตาม แพทองธาร ได้ยื่นรายชื่อพยานบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ปาก ประกอบด้วย
1.ฉัตรชัย บางชวด ตำแหน่ง เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะผู้ทำงานร่วมกับผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกเหล่าทัพ และยังเป็นบุคคลที่ทราบถึงเจตนาอันแท้จริงของข้าพเจ้าในการสนทนากับสมเด็จฮุน เซน
2. อรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้สั่งการฝ่ายปกครองด้านชายแดน
3. พล.อ.ภุชงค์ รัตนวรรณ ข้าราชการบำนาญในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกัมพูชา ทำงานด้านปฏิบัติในกัมพูชามาตั้งแต่ยศร้อยโท และทำงานอยู่กับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มาตั้งแต่ท่านดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 และ ผู้บัญชาการรบพิเศษ อย่างต่อเนื่อง
4. พล.ท.พุฒิพงษ์ ชีพสมุทร ตำแหน่งรองเจ้ากรมพระธรรมนูญทหาร ในฐานะผู้ชำนาญด้านกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของทหารและเรื่องอำนาจอธิปไตยของประเทศ
5. ธนาธิป อุปัติศฤงค์ อดีตทูตไทยประจำประเทศญี่ปุ่น อดีตทูตไทยประจำประเทศฟิลิปปินส์ และอดีตทูตไทยประจำประเทศรัสเซีย ในฐานะผู้ชำนาญด้านการต่างประเทศและสามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงวิธีปฏิบัติทางทูตในการเจรจาแบบไม่เป็นทางการ
ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะกำหนดนัดไต่สวน แพทองธาร ชินวัตร ผู้ถูกร้อง และ ฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ มาให้ปากคำในวันที่ 21 สิงหาคม 2568 เพียงแค่ 2 ปากเท่านั้น
พร้อมกันนี้ในการยื่นคำชี้แจงคดีนี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ถูกร้อง ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนหนึ่งว่า
สำหรับการใช้ถ้อยคำว่า "อยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้" เป็นเพียงเจตนาที่ต้องการให้คู่เจรจาได้เสนอเงื่อนไขหรือความต้องการออกมาก่อน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการเจรจาเชิงผลประโยชน์ (Principled Negotiation) โดยการใช้เทคนิคสำคัญ คือ การตั้งคำถามเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริง (Interest-Based) ในลักษณะไม่ได้โจมตีจุดยืนของคู่เจรจา แต่มุ่งทำความเข้าใจ ความต้องการที่อยู่เบื้องหลังมากขึ้น เพื่อจะได้นำมาพิจารณาเจรจาต่อรองเงื่อนไขที่จะนำไปสู่การยุติความตึงเครียดที่เกิดขึ้น โดยไม่ได้มีเจตนาที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณีแต่อย่างใด
โดยย้ำว่า ข้อเสนอใดๆ จากฝ่ายกัมพูชาจะต้องนำเงื่อนไขดังกล่าวไปพูดคุยกับฝ่ายความมั่นคงของไทยก่อน เพื่อร่วมกันพิจารณาและตัดสินใจ
ส่วนถ้อยคำที่กล่าวถึง แม่ทัพภาคที่ 2 (พล.ท.บุญสิน พาดกลาง) ว่าเป็น "ฝั่งตรงข้าม" นั้น เนื่องจากความไม่พอใจของสมเด็จฮุน เซน ที่มีต่อแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นการเฉพาะเจาะจง จึงจำต้องใช้เทคนิคการเจรจาที่แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล ไม่ได้เป็นการตำหนิติเตียนในทางลบหรือแสดงให้เห็นว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลไทยแต่อย่างใด แต่เป็นการอธิบายสถานการณ์ต่อฝ่ายกัมพูชาในเชิงสร้างความเข้าใจว่าฝ่ายบริหารของไทยมีเจตนาที่จะรักษาสันติและไม่ได้เป็นการโอนอ่อนหรือเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เป็นการดำเนินนโยบายโดยอาศัยหลักการทูตเพื่อรักษาเสถียรภาพของประเทศและป้องกันความขัดแย้งที่อาจลุกลาม
พร้อมย้ำว่า ตลอดบทสนทนาจึงเป็นเรื่องการรักษาผลประโยชน์ของชาติ โดยไม่มีเจตนาจะได้มาซึ่งผลประโยชน์ส่วนตน ดังจะเห็นได้จากบทสนทนาว่าไม่มีข้อความตอนใดที่เรียกร้องเอาผลประโยชน์ให้ตกเป็นของตนเองหรือครอบครัวแต่อย่างหนึ่งอย่างใด หรือได้ถือเอาประโยชน์ส่วนตนเหนือกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ หรือได้ปฎิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีโดยไม่ซื่อสัตย์สุจริต หรือแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ
นอกจากนี้ผู้ร่วมสนทนาคือสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งไม่ได้มีสถานะตามกฎหมายภายในของประเทศตนหรือภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ที่จะสามารถกระทำการอันก่อให้เกิดผลผูกพันทางนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐได้