‘ณัฐพงษ์’ ชูใช้ร่างฯ ‘พรรคส้ม’ เป็นหลัก! หมุนเข็มนาฬิกาประเทศ-ล้างมรดก คสช.

15 ต.ค. 2568 - 08:33

  • ‘เท้ง ณัฐพงษ์’ พร้อมรับหลักการร่างแก้ไข รธน.ทั้ง 3 ฉบับ

  • ชูใช้ฉบับ ‘พรรคส้ม’ เป็นร่างหลัก หมุนเข็มนาฬิกาประเทศ

  • นับหนึ่งล้างมรดก คสช.-เลิกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี-หยุดนิติสงคราม

‘ณัฐพงษ์’ ชูใช้ร่างฯ ‘พรรคส้ม’ เป็นหลัก! หมุนเข็มนาฬิกาประเทศ-ล้างมรดก คสช.

ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา วาระพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (แก้ไขเพิ่มเติม) ฉบับที่..พ.ศ… 3 ฉบับ ของพรรคประชาชน, พรรคภูมิใจไทย และพรรคเพื่อไทย เพื่อแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 256 เพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

โดยบางช่วงบางตอน ณัฐพงษ์ ระบุว่า “เราอยากให้กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทำได้มากกว่าได้ทำ ยืนยันว่าผู้ยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งโดยอ้อมนั้นสามารถทำได้ และสภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนสามารถทำได้ โดยไม่ขัดกับศาลรัฐธรรมนูญ เชื่อว่า การเมืองคือเรื่องของความเป็นไปได้ ที่ต้องทำควบคู่ไปกับการเมืองแห่งความจริง”

อยากเน้นย้ำว่า เราไม่ได้ตัดสินใจบนพื้นฐานว่า เราอยากมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เรากำลังโหวตในวันนี้ เพื่อความเป็นไปได้ในการหมุนเข็มนาฬิกาในประเทศไทย ให้เดินหน้าต่อหลังจากนาฬิกาเรือนนี้หยุดนิ่งไปเกือบ 20 ปี การลงมติในวันนี้ จะเป็นการปลดโซ่ตรวนทุกอย่างของกระบวนการในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ยากมากๆ และเข็มนาฬิกาที่ควรจะหมุนต่อด้วยมือของประชาชน จะไม่ใช่เข็มนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือของนักการเมือง แต่เป็นเข็มนาฬิกาแห่งชีวิตของประชาชนคนไทยทุกคน ที่เราควรต้องเปิดโอกาสให้ตัวแทนของประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมมากที่สุดในกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับนี้

ณัฐพงษ์ กล่าวถึงความจำเป็นที่ต้องให้ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญมีความยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด เพราะเชื่อว่า “รัฐธรรมนูญไม่ใช่ยาวิเศษ แต่คือสิ่งจำเป็นที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นเมืองที่มีความน่าอยู่ เพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องการผลักดันการกระจายอำนาจ ให้ปัญหาใกล้ตัวของประชาชนได้รับการแก้ไข เพราะรัฐธรรมนูญเกี่ยวข้องโดยตรงกับการทำให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องที่รัฐจะต้องคุ้มครองสิทธิของประชาชนทุกกลุ่มทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน”

รัฐธรรมนูญยังเกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะทำให้รัฐมีความทันสมัย มีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพตอบสนองต่อประชาชน เกี่ยวข้องต่อการออกแบบระบบการเมืองและการถ่วงดุลตรวจสอบให้เป็นไปตามหลักสากล และรัฐธรรมนูญเกี่ยวข้องกับการให้ประเทศไทยมีอนาคตที่เปิดกว้างกับทุกคน ไม่ใช่ถูกล็อกอยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี นี่คือใจความสำคัญของการลงมติโหวตในครั้งนี้ นอกเหนือจากการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็คือ การหมุนเข็มนาฬิกาของประเทศไทยให้เดินหน้าต่อไป

ณัฐพงษ์ กล่าวด้วยว่า “ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เรามี สสร. 4 ครั้ง ซึ่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับของพรรคประชาชนนั้น ผู้ยกร่างไม่ใช่ สสร. แต่หัวใจไม่ได้อยู่ที่ชื่อของผู้ยกร่าง ว่าเราจะเรียกว่าอะไร แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตั้งแต่ชั้นการยกร่าง ผู้ยกร่าง การทำประชามติว่ามีความยึดโยงกับประชาชนมากน้อยแค่ไหน

แม้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในครั้งนี้อาจไม่ใช่รัฐธรรมนูญฉบับปลายทาง หรือฉบับในฝัน แต่จะทำให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อได้ นับเป็นการเริ่มนับหนึ่งในการลบล้างมรดกของ คสช. เช่น การยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นจุดเริ่มต้นในการหยุดยั้งกระบวนการนิติสงคราม ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขในหมวดของศาลและองค์กรอิสระ ให้ยึดโยงกับประชาชนและเป็นไปตามหลักสากล เป็นการวางรากฐานในการสร้างสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่ดี เช่น การออกแบบระบบการเลือกตั้งใหม่ เพื่อให้จำนวน สส. สะท้อนกับคะแนนเสียงของประชาชนที่ออกไปเลือกตั้ง ออกแบบระบบพรรคการเมืองใหม่ เพื่อปิดช่องไม่ให้มี สส.งูเห่า ออกแบบที่มาและอำนาจของ สว. ให้เหมาะสม รวมถึงการแก้ไขในครั้งนี้จะเป็นกุญแจอีกดอกที่เปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญในฉบับต่อๆ ไปในอนาคต

ณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า “รัฐธรรมนูญจะไม่ใช่ยาวิเศษ แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องทำให้รัฐตอบสนองต่อประชาชน และไม่ว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไป พรรคใดจะมาเป็นรัฐบาลก็ตาม หากพวกเรายังไม่ริเริ่มกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตั้งแต่วันนี้ เข็มนาฬิกาของประเทศไทยก็ยังคงหยุดนิ่งต่อไป วันนี้ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล และวุฒิสภาต่างแสดงเจตจำนงค์ว่ายินดีที่จะรับทุกร่าง เข้าสู่การพิจารณาของชั้นกรรมาธิการในวาระที่สอง ตนเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะนี่คือจังหวะสำคัญที่สุดที่จะให้เข็มนาฬิกาของประเทศเดินหน้าต่อ

อยากจะเสนอให้นำร่างของพรรคประชาชน เป็น “ร่างหลักในการพิจารณา” เพราะเรายืนยันว่าสิ่งที่คิดมานั้นทำได้ และมีความยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด หากเราให้ความกลัวเป็นตัวกำเนิดอนาคตของประเทศ จะไม่มีวันเดินหน้าอะไรใหม่ได้ และผมมั่นใจว่าเราสามารถทำให้ร่างรวมจากทุกๆ พรรคที่จะออกมาจากวาระ 2 ในชั้นกรรมาธิการเป็นร่างที่ทำได้

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์