ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กัน จอมพลัง อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง นำเครื่องเสียงไปเปิดเสียงผีและเครื่องบินรบ รวมถึงฉายหนังกลางแปลงยุคที่ชาวกัมพูชาเข้ามาลี้ภัยในประเทศไทยว่า เชื่อว่าประชาชนทุกคนที่เป็นคนไทยอยากจะช่วยเหลือการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ส่วนเรื่องเสียงสะท้อนที่ออกมาว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ คิดว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีโดยตรง ที่จะทำอย่างไรให้ประชาชนทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นใคร หรือกัน จอมพลัง ก็ตาม ที่อยากจะช่วยเหลือคนไทย ให้ประเทศไทยมีความได้เปรียบจากประเทศกัมพูชา หรือช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้ เป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ในการบริหารจัดการให้ทุกความช่วยเหลือ ทำให้ทุกการช่วยเหลือมีแต่การยกระดับทำให้ประเทศไทยเข้มแข็งขึ้นไม่ได้ทำให้ไทยเพลี่ยงพล้ำหรือเสียเปรียบในเวทีโลก
ส่วนการปล่อยคลิปเสียงผี จะปลุกกระแสชาตินิยม จนทำให้ควบคุมไม่ได้มากขึ้นหรือไม่ ณัฐพงษ์ ยังยืนยันว่า ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ปฏิเสธไม่ได้ว่าบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดสระแก้ว เป็นพื้นที่ที่ประกาศกฎอัยการศึก การที่มีภาคประชาชนเข้าไปดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งก็มีบางส่วนมีข้อห่วงใยว่าจะเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ เพราะส่งผลกระทบทางด้านจิตวิทยาต่อพลเรือนฝั่งตรงข้ามโดยตรง จึงปฏิเสธได้ว่าหน่วยงานความมั่นคงและรัฐบาลจะต้องเป็นผู้มีความรับผิดชอบโดยตรง เพราะเป็นพื้นที่ควบคุม
ทั้งนี้ จะทำให้การต่างประเทศของไทยเดินหน้ายากขึ้นหรือไม่ ณัฐพงษ์ กล่าวว่า ต้องถามไปยังนายกรัฐมนตรีหรือ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพราะพื้นที่บริเวณนั้นเป็นพื้นที่อัยการศึก การที่รัฐบาลปล่อยให้มีการดำเนินการแบบนี้ ถึงแม้จะเป็นการดำเนินการที่มีเจตนาดี จะถือว่าหน่วยงานภาครัฐประเทศไทยให้การสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวที่อาจจะละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ แล้วจะทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบในเวทีการต่างประเทศหรือไม่ ซึ่งคำถามนี้เชื่อว่าเป็นคำถามที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศต้องตอบให้ชัด
ณัฐพงษ์ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ยังให้สัมภาษณ์กรณีการอภิปรายร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันเดียวกันนี้ว่า พรรคประชาชนเตรียมผู้อภิปรายไว้พร้อมมีประมาณ 20 คน โดยพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชนจะเป็นผู้อภิปรายปิด มีการแบ่งหมวดอภิปรายไว้ครบทุกหมวด ทั้งนี้ การอภิปรายทั้ง 2 วัน คือเรื่องรัฐธรรมนูญหมวด 15/1 คือกระบวนการที่จะนำไปสู่การทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งในส่วนพรรคประชาชน เตรียมเนื้อหาเพื่อให้ประชาชนเห็นถึงความจำเป็น ไม่ใช่แค่การแก้ไขปัญหาการเมือง แต่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาปากท้องและคุณภาพชีวิต
ส่วนผู้อภิปรายมีใครน่าจับตาหรือไม่นั้น ณัฐพงษ์ กล่าวว่า เด็ดทุกคน เตรียมเนื้อหามาค่อนข้างเข้มข้น เราเตรียมเนื้อหาไว้ครบทั้งการแก้ปัญหาใกล้ตัว การกระจายอำนาจ และการถ่วงดุลตรวจสอบ เพื่อให้กลไกศาลและองค์กรอิสระไม่ถูกใช้เป็นอาวุธในการทำลายทางการเมือง
ทั้งนี้ ฝั่งรัฐบาลและสว.ยืนยันว่า ต้องไม่แตะหมวดหนึ่งหมวดสอง พรรคประชาชนมีจุดยืนอย่างไร ณัฐพงษ์ กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นร่างของพรรคใดก็ตาม บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญปี 2560 ล็อกไว้อยู่แล้วว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องไม่เปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้น ทั้งร่างของพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาชนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้
ส่วนที่พรรคเพื่อไทยกังวลว่า พรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชนจะตกร่างของพรรคเพื่อไทย ณัฐพงษ์ กล่าวว่า ต้องดูการอภิปรายว่าแต่ละส่วนให้เหตุผลอย่างไร แต่จากที่ติดตามทั้งพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทย และสว.บางส่วน มีแนวโน้มจะรับทุกร่าง ที่สำคัญคือจะทำอย่างไรให้ผู้ยกร่างมีความยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด
เมื่อถามว่า หากใช้ร่างของพรรคภูมิใจไทยเป็นร่างหลักจะมีข้อครหาหรือไม่ว่าที่มาของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ณัฐพงษ์ กล่าวว่า วิเคราะห์กันได้ หลายคนก็ตั้งคำถามว่าร่างของพรรคภูมิใจไทยมีความยึดโยงกับประชาชนน้อยหน่อย แต่ไม่ว่าร่างของใครจะเป็นร่างหลัก ก็ยังสามารถผลักดันในชั้นกรรมาธิการได้ เพราะเมื่อคำนวณสัดส่วนของกรรมาธิการแล้วความสมดุล และหากผ่านชั้นกรรมาธิการแล้วเป็นร่างที่พรรคประชาชนไม่สามารถยอมรับได้ พรรคประชาชนก็ไม่สามารถลงมติรับร่างในวาระที่ 3 ได้
ทั้งนี้ แม้สส.จะเห็นไปทางเดียวกันแต่ในส่วนสว. จะถูกมองว่าเป็นการตีกินหรือไม่ ณัฐพงษ์ กล่าวว่า ไม่ได้ห่วงว่าเป็นการตีกิน เพราะในสัดส่วนของกรรมาธิการไม่มีใครสามารถตีกินได้
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ สว.ส่งสัญญาณโหวตรับทั้ง 3 ร่างมองว่าเป็นเพราะอะไร ณัฐพงษ์ กล่าวว่า ต้องดูว่ามีใครสามารถเข้าไปพูดคุยได้หรือไม่ เพราะเป็นหน้าที่ของทุกพรรคที่ต้องพูดคุยกับสมาชิกรัฐสภาทุกฝ่าย แต่หนึ่งในนั้นคือคนที่อยู่ใน MOA คือ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เชื่อว่า การจะทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านทั้ง 3 วาระ อนุทินก็เป็นส่วนสำคัญที่ไปทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วน
เมื่อถามย้ำว่า หมายความว่าสว.โหวตให้เพราะสนับสนุนอนุทินใช่หรือไม่ ณัฐพงษ์ กล่าวว่า ไปพูดแบบนั้นอาจจะขัดหลักการทุกคนประเมินเอาดีกว่า พรรคภูมิใจไทยก็คงยอมรับในที่สาธารณะไม่ได้
ส่วนอนุทินมีผลหรือไม่นั้น ณัฐพงษ์ กล่าวว่า ต้องไปประเมินเอา แต่เชื่อว่า ประชาชนเล็งเห็นได้ว่าการตัดสินใจของพรรคประชาชนที่โหวตให้อนุทิน ทำให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างมีนัยสำคัญจาก 2 ปีที่ผ่านมาไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย
เมื่อถามว่า มองว่ามีการล็อกสเปกการแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ ณัฐพงษ์ กล่าวว่า สัดส่วนของกรรมาธิการไม่มีใครสามารถกินรวบได้ ดังนั้นจะกินรวบหรือไม่ขอให้ดูการทำหน้าที่ของกรรมาธิการ
ส่วนขณะนี้กฎหมายประชามติฉบับใหม่ยังไม่ประกาศใช้ หากต้องเดินหน้าทำประชามติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประเมินว่าจะส่งผลอะไรหรือไม่ ณัฐพงษ์ กล่าวว่า ประเมินว่าร่างประชามติจะประกาศใช้ทัน ทั้งนี้กระบวนการส่งร่างรัฐธรรมนูญให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติการทำประชามติ ต้องรอดูว่า พ.ร.บ.ประชามติจะประกาศใช้เมื่อไหร่ เพื่อไม่ให้มีข้อขัดข้องทางกฎหมาย
ทั้งนี้ พรรคภูมิใจไทยยืนยันจะใช้ร่างของพรรคภูมิใจไทยเป็นร่างหลัก ณัฐพงษ์ กล่าวว่า พรรคประชาชนยืนยันว่า จะใช้ร่างของเราเป็นร่างหลัก ซึ่งเป็นสิทธิ์ของทุกพรรคจะเสนอร่างของตัวเองเป็นร่างหลัก แต่อยู่ที่ผลการลงมติ และในส่วนของวิปก็ต้องมีการพูดคุยเจรจากัน ท้ายที่สุดหากหาจุดลงตัวกันไม่ได้ก็ต้องดูที่ผลการลงมติ
ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านวาระแรก แล้วต้องรอจนถึงวาระที่สาม จะทำให้เกิดช่องว่างของการทำหน้าที่ฝ่ายค้านในการตรวจสอบรัฐบาลหรือไม่นั้น ณัฐพงษ์ ยืนยันว่า จะไม่หยุดทำหน้าที่ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน ในระหว่างนี้ ถ้าเราเห็นว่ามีการดำเนินการอย่างหนึ่งหนึ่งอย่างใดของรัฐบาล ที่อาจทำให้ประเทศเสียหาย โดยที่ไม่สามารถเรียกคืนความเสียหายเหล่านั้นกลับมาได้อีก พรรคประชาชนจะเดินหน้าอย่างเต็มที่ เช่น กลไกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ยังเป็นสิ่งที่เราเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ถ้าใครได้รับผลกระทบของการใช้อำนาจของรัฐบาล เช่น การแต่งตั้งโยกย้าย ก็สามารถให้ข้อมูลมายังพรรคประชาชนได้
เมื่อถามย้ำว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นเงื่อนไขให้ไม่อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลหรือไม่ ณัฐพงษ์ กล่าวว่า การแก้รัฐธรรมนูญเป็นเงื่อนไขเพียงหนึ่งเดียว ถึงแม้การโหวตอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้เงื่อนไข MOA มีเป้าประสงค์ในการเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะสามารถเอาไปแลกกับความเสียหายในประเทศทุกเรื่อง เพราะฉะนั้น การดำเนินการทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขชายแดนไทย-กัมพูชา การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง หรือไปยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม ซึ่งหากรัฐบาลนำอำนาจไปใช้ทำให้ประเทศไทยเสียหาย เราเองก็ไม่สามารถที่จะยอมได้



