‘จุรินทร์’ ย้ำชัด! ห้ามแตะหมวด 1-2 ‘ประชาธิปัตย์’ หนุน สสร.ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่

14 ต.ค. 2568 - 06:56

  • ‘จุรินทร์’ เทียบ ‘3 ร่างแก้รัฐธรรมนูญของ 3 พรรค’ ชี้ร่าง ภท.และพรรคร่วมรัฐบาลชัดเจนที่สุด

  • ย้ำ ‘ประชาธิปัตย์’ หนุนเปิดทางให้มี สสร. แต่ไม่แตะหมวด 1-2

  • เตือนหากหนุน ‘ร่างอื่น’ อาจเปิดช่องนำไปสู่การแก้หมวดสำคัญในอนาคต

‘จุรินทร์’ ย้ำชัด! ห้ามแตะหมวด 1-2 ‘ประชาธิปัตย์’ หนุน สสร.ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอภิปรายในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา วาระพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ ของพรรคประชาชน, พรรคภูมิใจไทย และพรรคเพื่อไทย เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 156 เพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ว่า เหตุผลที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ไม่สำเร็จ เพราะเขียนไว้ให้แก้ยาก ซึ่งโดยปกติการแก้รัฐธรรมนูญ ถ้าเสียงข้างมากของที่ประชุมร่วมรัฐสภาเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งก็สามารถแก้ได้แล้ว

แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีเงื่อนไขเพิ่มเติม นอกจากต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งและยังจะต้องประกอบด้วยเสียงของฝ่ายค้านไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 และเพิ่มเติมด้วยเสียงของวุฒิสมาชิก (สว.) ไม่ต่ำกว่าหนึ่งในสาม รวมทั้งบางมาตรา หากจะแก้ต้องทำประชามติถามความเห็นประชาชนอีก จึงเป็นเงื่อนไขที่ทำให้แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคหนึ่งที่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น

และไม่เห็นด้วยกับบทเฉพาะกาล ที่กำหนดเงื่อนไขให้ สว. สามารถลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีได้ ทั้งที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนในขณะนั้น แต่เมื่อประชาชนได้ลงประชามติเห็นชอบกับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน พรรคประชาธิปัตย์ก็ยอมรับสิ่งที่ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน และก่อนที่ประชาธิปัตย์จะเข้าร่วมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มีเงื่อนไข 3 ข้อ คือ

  • ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตการบริหารราชการแผ่นดิน
  • ต้องใช้นโยบายประกันรายได้สินค้าเกษตร
  • ต้องสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น โดยไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2

จุรินทร์ กล่าวอีกว่า “วันนี้ มีการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา เพื่อสนองต่อเอ็มโอเอที่เป็นข้อตกลงระหว่าง 2 พรรคการเมือง แม้ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าการแก้ปัญหาปากท้องสำคัญมากกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงเป็นหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาทุกคนที่จะต้องพิจารณาร่างแก้รัฐธรรมนูญทั้ง 3 ร่างนี้ เพื่อแก้มาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15 เปิดทางให้มี สสร. ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้

จุดยืนของผมและพรรคประชาธิปัตย์ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่มีอะไรเปลี่ยน คือ ต้องไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 ซึ่งหมวด 1 เป็นบททั่วไป มี 5 มาตรา ซึ่งมี 3 มาตราที่สำคัญคือ มาตรา 1 ระบุชัดเจนว่าประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้ ผมจึงเห็นว่าห้ามแตะหมวด 1 ส่วนมาตรา 2 ระบุ ประเทศไทยมีการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็ห้ามแตะ และมาตรา 5 ระบุด้วยข้อความวรรคท้ายว่า “เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีปกครองของประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ข้อความตรงนี้ที่ปรากฏอยู่ในมาตรา 5 วรรคท้าย หมวด 1 ต้องห้ามแตะ เพราะมีปรากฏต่อเนื่องตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2492 จนมาถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เป็นมิติต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มิติทางกฎหมาย หากไม่มีบทบัญญัติใดรองรับไว้ในรัฐธรรมนูญ และมิติทางการเมืองการปกครองที่ยึดรับประชาธิปไตยคือกับองค์พระมหากษัตริย์อย่างสมดุล

จุรินทร์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับร่างของพรรคเพื่อไทย ที่ระบุว่า “ห้ามเปลี่ยนแปลงการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และห้ามเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ” ตรงนี้เป็นข้อห้ามที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นข้อห้ามอยู่แล้ว และระบุไว้ในมาตรา 255 บังคับใช้อยู่แล้ว ไม่ว่าใครก็แก้ไม่ได้ คือต้องห้ามโดยข้อบังคับ แต่ร่างนี้ไม่มีบทบัญญัติห้ามแตะหมวด 1 หมวด 2 ระบุไว้ ส่วนร่างของพรรคประชาชน เช่นเดียวกัน ไม่มีบทบัญญัติห้ามแตะ หรือห้ามเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 1 หมวด 2

แต่ในร่างของพรรคภูมิใจไทยและพรรคร่วมรัฐบาล ระบุชัดเจนว่า การแก้ไขหมวด 1 หมวด 2 จะกระทำไม่ได้ หากรัฐสภาวินิจฉัยร่างรัฐธรรมนูญลักษณะเป็นการแก้ไขหมวด 1 หมวด 2 ให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนั้นตกไป

ฉะนั้นนี่คือความแตกต่างสำหรับ 3 ร่างที่เราจะต้องพิจารณาตัดสินใจ วันนี้รัฐสภาจะต้องพิจารณาลงมติใน 2 ประเด็นหลัก คือ จะเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใดบ้าง ถ้าแยกลงมติ ถ้ารวมลงมติ ก็จะกลายเป็นว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เสนอต่อที่ประชุมรัฐสภา และการลงมติอีกเรื่องก็คือจะใช้ร่างใดเป็นร่างหลักในการพิจารณาในวาระที่สองในขั้นเรียงมาตรา ผมยืนยันในจุดที่ยึดมั่นมาโดยตลอด

และขอเพิ่มความเห็นและข้อเสนอแนะเป็น 4 ข้อ ดังนี้

  • “ผมพร้อมสนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เปิดทางให้มี สสร. ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ต้องไม่แตะหมวด 1 หมวด 2
  • “หากจะต้องลงมติว่าจะใช้ร่างใดเป็นร่างหลักในการพิจารณาวาระสอง ผมจะมาลงมติใช้เงื่อนไขเดิมคือ ต้องใช้ร่างที่ไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 เป็นหลัก เพราะเป็นห่วง หากไม่ใช้ร่างนี้ที่ห้ามแตะหมวด 1 หมวด 2 อาจจะเป็นหัวเชื้อนำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แบบปลายเปิด และในที่สุดอาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแก้ไขหมวดหนึ่งหมวดสองได้ต่อไปในอนาคต
  • “การแก้ไขรัฐธรรมนูญเที่ยวนี้ จะต้องไม่ขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องที่มาของ สสร. เพื่อจะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญรอบนี้ไม่เป็นหมันต่อไปในอนาคต”
  • “รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ สสร. ถ้ามี จะต้องยกร่างขึ้นโดยมีเจตจำนงที่จะส่งเสริมคนดีปกครองบ้านเมือง ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา 160 (4)(5) ที่ระบุว่า ผู้ที่จะเข้าสู่อำนาจสำคัญทั้งรัฐมนตรี นอกจากจะต้องมีวัยวุฒิคุณวุฒิตามที่กำหนดแล้ว ยังจะต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และไม่มีพฤติกรรมฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง เพื่อให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับสนองตอบ และคงมั่นที่มาตรฐานผู้ที่จะเข้าสู่อำนาจทางการเมืองและตำแหน่งสำคัญของประเทศไว้ได้ต่อไป เพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองและประชาชนโดยรวม”

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์