พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นำคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย–กัมพูชา หรือ GBC สมัยพิเศษ ครั้งที่ 2/2568 ระดับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ฝ่ายกัมพูชา นำโดย พล.อ.เตีย เซ็ยฮา รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กัมพูชา ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
พล.อ.ณัฐพล แถลงข่าวภายหลังการประชุมและลงนามบันทึกการประชุม ว่า การประชุมวันนี้มีความคืบหน้า โดยฝ่ายไทยได้โนมน้าวให้ฝ่ายกัมพูชายึดถือ 4 ประเด็นเดิม แต่ลงลึกในรายละเอียดยิ่งขึ้น เพื่อให้หน่วยปฏิบัติในพื้นที่ปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม
ประเด็นแรก การถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ขัดแย้งทั้งสองฝ่าย ได้บรรลุข้อตกลง การจัดทำข้อกำหนดเงื่อนไขของงาน หรือ TOR สำหรับคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน หรือ ASEAN Observer Team - AOT และมีการลงนามของผู้แทนทั้งสองฝ่ายเรียบร้อยแล้ว โดยคณะ AOT จะมีหน้าที่สังเกตุความคืบหน้าการถอนอาวุธหนักของแต่ละฝ่าย และกำหนดกรอบเวลา เป้าหมายถอนอาวุธไว้เรียบร้อยแล้ว
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องในแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ที่จัดทำร่วมกัน โดยมอบหมายให้ แม่ทัพภาคที่ 2 และ ผู้บัญชาการภูมิภาคที่ 4 กัมพูชา ขับเคลื่อนแผนไปสู่การปฏิบัติ โดยจะหารือขั้นต้น 25 ต.ค.นี้ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้ประชาชนแนวชายแดน
เนื่องจากอาวุธกัมพูชาส่วนใหญ่ เช่น BM21 เป็นอาวุธที่มีอำนาจการทำลายเป็นวงกว้าง ยากแก่การควบคุมตำบลกระสุนตก จึงก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงเป้าหมายที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร เช่น บ้านเรือน ร้านค้า ไร่นา โรงเรียน โรงพยาบาล เป็นต้น

ประเด็นที่สอง เรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังการบุคคล ทั้ง 2 ฝ่าย ประสบความสำเร็จในการจัดทำตามระเบียบมาตรฐาน หรือ (Standard Operating Procedure - SOP) สำหรับการเก็บกู้ทุนระเบิดในพื้นที่ชายแดน ทั้งในพื้นที่ที่มีการกำหนดเขตแดนชัดเจนแล้ว และพื้นที่ที่สองฝ่ายยังเห็นไม่ตรงกัน หลังจากนี้ชุดประสานงานของทั้งสองฝ่าย จะสามารถเริ่มปฏิบัติการเก็บกู้ได้ทันที
ซึ่งที่ผ่านมาศูนย์ปฏิบัติการเก็บกู้ทุนระเบิด TMAC ฝ่ายไทย ไม่สามารถดำเนินการหรือเก็บกู้ได้อย่างเต็มที่เนื่องจากมักถูกขัดขวางจากฝ่ายกัมพูชาหลายครั้ง เมื่อเราเข้าไปใกล้พื้นที่ชายแดน
แต่ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายกัมพูชายอมที่จะนำประเด็นการเก็บกู้ทุนระเบิดมาพูดคุยในรายละเอียดอย่างจริงจัง ทั้งนี้การเก็บกู้ทุนระเบิดในพื้นที่ชายแดนเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนและทหารที่ปฎิบัติหน้าที่ป้องกันชายแดน ซึ่งฝ่ายไทยได้ยืนยันมาตลอดว่าการเก็บกู้ทุนระเบิดเป็นเรื่องสำคัญ ที่ต้องเร่งดำเนินการและไม่นำเรื่องเขตแดนมาเป็นข้อจำกัด

ประเด็นที่สาม การปราบปรามขบวนการไซเบอร์สแกม เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่เราได้ความคืบหน้าจากฝ่ายกัมพูชา โดยหน่วยงานตำรวจทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) เรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้ง ‘กองกำลังเฉพาะกิจร่วม’ ภายใน 2 สัปดาห์ เพื่อเริ่มกวาดล้างแกนนำหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการไซเบอร์สแกมได้ต่อไป ซึ่งต้องยอมรับว่ามีขบวนการบางส่วนเดินทางไปมาทั้งสองประเทศด้วยวิธีต่างๆ
นอกจากนี้ได้ตกลงร่วมกันเกี่ยวกับขั้นตอนที่ชัดเจนในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร หลักฐาน พยาน เหยื่อที่ถูกหลอกลวง และผู้ต้องหา รวมถึงการคุ้มครองพยาน เพื่อทำให้การทำงานของตำรวจรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนทุกคน ส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน และพื้นที่อื่นๆทั่วโลก
ดังนั้นแผนปฏิบัติการที่ร่วมกันจัดทำขึ้นจึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานตำรวจของไทยและกัมพูชา ซึ่งอาจรวมถึงเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของประเทศอื่นๆ ที่มีประชาชนของตนตกเป็นเหยื่อของขบวนการไซเบอร์สแกมด้วย

ประเด็นที่สี่ การจัดการพื้นที่หมู่บ้านชายแดน จ.สระแก้ว ตามข้อมูลข้างต้นในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ JBC นำโดยกระทรวงการต่างประเทศได้มีผลลัพธ์เชิงบวกสำคัญ ที่สามารถทำให้หน่วยในพื้นที่นำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยทั้งสองฝ่ายเห็นชอบที่จัดส่งเจ้าหน้าที่ของตนลงพื้นที่ไปสำรวจแนวเส้นที่แต่ละฝ่ายอ้างสิทธิ์ โดยจะทำการสำรวจร่วมจากหลักเขตที่ 42 ถึง 47 ช่วง บ้านหนองจาน และ บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว
ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายกัมพูชายินยอมร่วมมือกับฝ่ายไทยในการลงพื้นที่เดินสำรวจแนวเส้นอ้างสิทธิ์ และวางหมุดชั่วคราวไว้ที่แน่ชัดด้วยกัน อันจะทำให้แต่ละฝ่ายยอมรับขอบเขตที่เกิดขึ้น ตามผลการสำรวจ และจะนำไปสู่การปักการถือครองที่ดินของทั้งสองฝ่ายต่อไป ซึ่งการวางหมุดชั่วคราวนี้เป็นเพื่อการสำรวจเท่านั้น และจะไม่กระทบต่อสิทธิ์ของไทยเรื่องเขตแดนทางบก ทาง กฎหมายระหว่างประเทศแต่อย่างใด
นอกจากนี้ฝ่ายไทยจะดำเนินการสร้างรั้วชายแดนในบริเวณที่มีความชัดเจนของเส้นเขตแดนแล้ว โดยยืนยันว่ารั้วดังกล่าวอยู่ภายในเขตอธิปไตยของไทยเพื่อประโยชน์ในการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนและป้องกันภัยคุกคามการข้ามแดนระหว่างทั้งสองประเทศ
ฝ่ายไทยขอยืนยันว่าเราต้องการเห็นความคืบหน้าในทุกเรื่องตามที่กล่าวมาแล้ว จึงจะพิจารณายุติความเป็นปรปักษ์ต่อกัน ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาให้แสดงความจริงใจให้ปฏิบัติตามผลประชุม GBC ในครั้งนี้ เพื่อนำสันติสุขกลับสู่ประชาชนทั้งสองประเทศตลอดจนภูมิภาคอาเซียนในภาพรวม
“ผมขอยืนยันในนามของรัฐบาลและกระทรวงกลาโหม จะพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งอธิปไตยและประโยชน์ของชาติ และประชาชน คำนึงถึงเกียรติภูมิของประเทศไทยเป็นสำคัญ” พล.อ.ณัฐพล กล่าว


