จากกรณี 'ไชยชนก ชิดชอบ' รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยถึงประเด็นภาพการลงนาม MOU ระหว่างกระทรวงดีอีฯ และ Prime Opportunity Fund VCC Singapore เมื่อวันที่ 27 มี.ค.67 ซึ่งได้สั่งการให้เร่งรัดติดตามคำสั่งของสำนักงานรัฐมนตรี ด่วนที่สุด ที่ ดศ 0100.3/939 ลงวันที่ 21 พ.ย.68 และได้มีการขอให้ตรวจสอบติดตามและรายงานผลเกี่ยวกับการดำเนินการเรื่อง MOU บริษัท Prime Opportunity Fund VCC Singapore โดยด่วนที่สุด พร้อมมีคำสั่งเมื่อวันที่ 24 พ.ย.68 ยกเลิกบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่างกระทรวงดีอีฯ และบริษัท Prime Opportunity Fund VCC Singapore หลังจากพบเส้นทางเชื่อมโยงขบวนการฟอกเงินดิจิทัลระดับโลก แต่ใน MOU ได้ระบุว่า จะร่วมกันจัดทำโครงการศูนย์กลาง ธุรกิจดิจิทัลและการเงิน (TIDC)
ทำให้ 'ไชยชนก' ได้ประสานขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กับสำนักงาน ปปง. ช่วยดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง นอกจากนี้ยังพบข้อพิรุธในหลายเรื่อง อาทิ การจัดทำ MOU ดังกล่าว เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค.67 และมีการลงนามใน MOU วันที่ 27 มี.ค.67 ซึ่งใช้เวลาดำเนินการเพียง 3 วัน และพบว่าเกี่ยวโยงกับการเก็บข้อมูลสแกนม่านตา ทั้งนี้ เหตุการณ์การลงนาม MOU เมื่อวันที่ 27 มี.ค.67 ยังพบว่ามี 'ประเสริฐ จันทรรวงทอง' รมว.ดีอีฯ (ในขณะนั้น) 'เบน สมิธ' นอกจากนี้ยังมี 'ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า - นฤมล ภิญโญสินวัฒน์' ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามในเอ็มโอยูครั้งนั้นด้วย
ล่าสุดมีรายงานว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเรื่องดังกล่าวดำเนินการเป็นคดีพิเศษเรียบร้อยแล้ว โดยเป็นเลขคดีพิเศษที่ 148/2568 กรณีธุรกิจสแกนม่านตาแลกเหรียญคริปโตเคอเรนซี ภายใต้โครงการ Worldcoin ซึ่งจะดูในฐานความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 “ ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวังโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
- (1) โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิว เตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา
- (2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
- (3) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา(4) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ (5) เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4)
รายงานข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุถึงความเป็นมาของคดีพิเศษที่ 148/2568 กรณีธุรกิจสแกนม่านตาแลกเหรียญคริปโตเคอเรนซี ภายใต้โครงการ Worldcoin ว่า เรื่องนี้มันมีความเชื่อมโยงกับบริษัทที่รับสแกนม่านตา ตามที่เคยปรากฏเป็นข่าวก่อนหน้านี้ ซึ่งพบว่าในปี 2567 มีคนไทยจำนวนกว่า 1.2 ล้านคนทั่วประเทศได้ทำการสแกนม่านตาไปแล้วผ่านเครื่อง Orb สแกนม่านตาเพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์ (Proof of Human) และมอบเหรียญดิจิทัล Worldcoin (WLD) ให้กับผู้เข้าร่วม ซึ่งเรื่องทั้งหมดมันเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เพราะมันมีการอ้างว่าเมื่อสแกนม่านตาแล้วจะมีการจ่ายเป็นเหรียญดิจิทัล อีกทั้งเรื่องนี้ก็มีขบวนการทีมงานมาติดตั้งเครื่องสแกนม่านตา ทำการเชิญชวนให้ประชาชนมาสแกนม่านตา และมีการรับซื้อเหรียญดิจิทัล
อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอก็ได้มีการตรวจสอบดูในส่วนของต่างประเทศด้วยว่าเครื่องสแกนม่านตามันทำงานอย่างไร และมีประโยชน์อย่างไรบ้าง มีฟังก์ชันการทำงานแตกต่างจากเครื่องที่ถูกติดตั้งในไทยอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ดีเอสไอได้มอบหมายให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดเชิงลึกคู่ขนานด้วย เพราะค่อนข้างเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อน โดยเฉพาะมิติอาชญากรรมทางเศรษฐกิจระดับโลก อย่างไรแล้ว หากดูรายละเอียดในบันทึกข้อตกลง มันค่อนข้างเป็นประโยชน์ก็จริง แต่พอเรื่องนี้มันไปเกี่ยวข้องเกี่ยวโยงกับนายเบน สมิธ และพวก จึงต้องขยายผลดูอย่างละเอียด
รายงานข่าวจากดีเสไอ ระบุอีกว่า การที่ดีเอสไอประสานขอให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยตรวจสอบจะทำให้เห็นภาพสำคัญ คือ การติดตั้งเครื่องสแกนม่านตาดังกล่าวก็เพื่อที่จะนำมาซึ่งเหรียญดิจิทัล เพื่อไปซัพพอร์ตต่อในส่วนของเหรียญดิจิทัล Worldcoin (WLD) ซึ่งเรื่องนี้ทางผู้จัดทำไม่ได้มีการแจ้งข้อมูลรายละเอียดให้ประชาชนรับทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด แต่ประชาชนกลับถูกเอาม่านตาบันทึกข้อมูลเข้าสู่ระบบไปแล้ว ซึ่งประชาชนจะไม่รู้เลยว่ากิจกรรมข้อมูลดังกล่าวนี้จะถูกนำไปใช้ในแง่มุมไหนในอนาคต เพราะ 'ม่านตา' ในหลักการของสถาบันวิทยาศาสตร์นั้น ได้มีการยืนยันว่าม่านตาเทียบเท่ากับสารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) เพราะมันสามารถใช้ยืนยันอัตลักษณ์บุคคลได้ เพียงแต่ว่าความแตกต่างคือ ดีเอ็นเอจะต้องมีการตรวจเจาะเลือด แต่ม่านตากลับสามารถสแกนและเก็บข้อมูลได้เลย ซึ่งเรื่องนี้ถ้ามองเกี่ยวกับวิวัฒนาการในอนาคต มันก็อาจเป็นเรื่องดี
หากทำให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ แต่เราก็ยังพบว่าอย่างประเทศสิงคโปร์ ก็ไม่ได้ดำเนินการในเรื่องนี้ต่อ จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่เราต้องลงลึกไปดูว่าข้อมูลสแกนม่านตาของคนไทยจำนวน 1.2 ล้านคน ถูกนำไปใช้ทำอะไรแล้วบ้าง จึงต้องขอระยะเวลาในการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานก่อน แต่เบื้องต้น ดีเอสไอก็ได้มีการดำเนินการสอบปากคำพยานซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับเหรียญดิจิทัลชื่อดังรายหนึ่งของไทยไปแล้ว เนื่องจากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหรียญดิจิทัล Worldcoin (WLD) แต่อย่างไรคงต้องรอข้อมูลรายละเอียดผลสอบปากคำพยานอย่างครบถ้วนก่อน จึงจะทำให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมถึงต้องรวบรวมข้อมูลว่ามีใครบ้างที่ถูกสแกนม่านตาไปแล้ว และมีการเก็บบันทึกข้อมูลไว้อย่างไรบ้าง เพราะทางบริษัทที่รับติดตั้งเครื่องสแกนม่านตา ก็อ้างว่าเก็บข้อมูลเพียงแค่การสแกนม่านตา ทั้งนี้ ดีเอสไอยังพบข้อมูลว่าบริษัทที่มาทำบันทึกข้อตกลง MOU กับบริษัทที่ทำเหรียญดิจิทัล มีความเชื่อมโยงกัน


