ภายหลัง ‘เฉลิมชัย ศรีอ่อน’ ลาออกจาก ‘หน.ประชาธิปัตย์’ ทำให้ กก.บห.พรรค พ้นจากตำแหน่ง เท่ากับเป็น ‘รีเซ็ต’ ใหม่อีกครั้ง โดยจะมีการเลือก ‘หัวหน้า’ และ กก.บห.ชุดใหม่ 18 ต.ค.นี้ ที่ในขณะนี้มีกระแสข่าว ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ อดีตหัวหน้า ปชป. อาจคัมแบ็กอีกครั้ง เพื่อกอบกู้ ปชป. ให้กลับมา
จากผลการเลือกตั้งปี 2566 ที่เรียกว่าเป็นอีกจุดตกต่ำ ปชป. ที่ได้ สส. มาเพียง 25 ที่นั่ง ถือว่าน้อยที่สุด นับจากเคยมี สส. น้อยที่สุด ในการเลือกตั้งปี 2500 ที่ได้ สส. 31 ที่นั่ง
อีกทั้ง ‘พลิกประวัติศาสตร์’ ที่ ปชป. ไปจับมือกับ ‘เพื่อไทย’ ในยุค ‘รบ.แพทองธาร ชินวัตร’ ทั้งที่ ปชป. ต่อสู้กับ ‘ระบอบทักษิณ’ มาตั้งแต่ต้น แต่ก็ไม่เกินคาดหมาย เพราะ ปชป. ในยุคตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา ‘เปลี่ยนขั้วอำนาจ’
เหตุเพราะข้อบังคับพรรค ปชป. ที่ ‘โหวตเตอร์’ แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่
1)สส.ปัจจุบัน มีคะแนน 40 % ของเสียงที่ประชุมใหญ่
2)กก.บห.รักษาการ มีคะแนน 20 % ของคะแนนเสียงในที่ประชุมใหญ่ ซึ่งมี กก.บห. 32 คน ในจำนวนนี้มี 8 คน จึงเหลือ กก.บห. 24 คน
3)โหวตเตอร์อื่นๆ มีคะแนนเสียงร้อยละ 40 ของที่ประชุมใหญ่ เช่น อดีตหัวหน้าพรรค , อดีตเลขาธิการ , อดีต สส. , อดีตรัฐมนตรี , หัวหน้าสาขาพรรค , ตัวแทนพรรคประจำจังหวัด เป็นต้น
ซึ่งตามข้อบังคับพรรค ‘โหวตเตอร์’ ทั้งหมด ต้องมีอย่างน้อย 250 คน ทำให้ ‘โหวตเตอร์’ กลุ่ม 3 ต้องมีมากกว่า 201 คน เท่ากับคือ สส. 25 คน + กก.บห. 24 คน + 201 คน = 250 คน
หากพิจารณาจะพบว่า ‘น้ำหนักคะแนน’ ยังคงอยู่ที่ สส. และ กก.บห. นั่นเอง
เมื่อย้อนดูผลเลือกตั้งปี 2566 ที่มี 25 สส. โดยมี สส. เขต 22 คน ส่วน สส.บัญชีรายชื่อ 3 คน ได้แก่ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ , ชวน หลีกภัย , บัญญัติ บรรทัดฐาน
ซึ่ง สส. เขต ส่วนใหญ่อยู่ภายในการดูแลของ ‘เฉลิมชัย ศรีอ่อน’ และ ‘เดชอิศม์ ขาวทอง’ ยกเว้น สรรเพชญ บุญญามณี สส.สงขลา เขต1 ที่ไม่ได้อยู่ในกำกับ
ทว่าในการโหวตเลือกนายกฯ ระหว่าง ‘ชัยเกษม นิติสิริ’ กับ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ ที่ ปชป. มีมติงดออกเสียง กลับพบ 4 สส. โหวตสวน หนุน ‘อนุทิน’ เป็น นายกฯ ได้แก่ ร่มธรรม ขำนุรักษ์ , ราชิต สุดพุ่ม , สมยศ พลายด้วง และ สรรเพชญ บุญญามณี
‘เดชอิศม์’ เติบโตจาก ‘การเมืองท้องถิ่น’ จ.สงขลา เริ่มจากสมาชิกสภาจังหวัด จนขึ้นเป็น นายก อบจ.สงขลา ต่อมาปี 2548 เคยเลือกตั้ง สส. ในสังกัด ‘พรรคไทยรักไทย’ จากนั้นปี 2550 ได้ย้ายมาสังกัด ปชป. ก่อนได้รับเลือกตั้งเป็น สส. ครั้งแรก เมื่อปี 2562
ตีคู่กับกระแสข่าวว่า ‘เดชอิศม์’ จะนำ 4 สส.สงขลา ไปซบ ‘พรรคกล้าธรรม’ ส่วน ‘เฉลิมชัย ศรีอ่อน’ ก็มีกระแสข่าวว่าจะไปซบ ‘พรรคภูมิใจไทย’ อีกด้วย
สิ่งที่น่าสนใจ คือ ‘อภิสิทธิ์’ กลับอยู่ใน ‘ความเงียบ’ แต่ในทางตรงข้าม ‘เลือดเก่า ปชป.’ กลับทยอย ‘ไหลกลับ’ เรื่อยๆ แต่หากดูจาก ‘สูตรคำนวณ’ จาก ‘โหวตเตอร์’ 3 กลุ่ม จะพบว่า ‘อำนาจต่อรอง’ ยังคงอยู่ที่ ‘ขั้วอำนาจเดิม’
ดังนั้นในความเงียบนี้ จึงต้องจับตาว่าภายใน ปชป. มีการเจรจาใดหรือไม่ ? และ ‘อภิสิทธิ์’ จะกล้าลงสมัครชิงหัวหน้า ปชป. หรือไม่ ? เพราะหาก ‘พ่าย’ ก็จะ ‘เปลืองตัว’ ไปด้วย
เว้นแต่ ‘ขั้วอำนาจใหม่’ ที่จะสนับสนุน ‘อภิสิทธิ์’ โดยไปดึงเสียง สส. กับ กก.บห. มาได้นั่นเอง ซึ่งก็มีขั้นต่ำอยู่ คือ สส. 16 คน และ กก.บห. 13 คนขึ้นไป และต้องได้ ‘โหวตเตอร์อื่น’ อย่างน้อย 15 % จาก 40 % หรือคิดเป็น 75 คนขึ้นไป ในกรณีที่โหวตเตอร์ทั้งหมดมี 250 คน ตามที่ ‘สามารถ ราชพลสิทธิ์’ อดีตรองหัวหน้า ปชป. ได้คำนวณไว้
แม้กระแส ‘อภิสิทธิ์’ จะมาแรงภายใน ปชป. ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะฝ่า ‘ข้อบังคับพรรค’ เว้นแต่ ปชป. อยู่ในสภาพ ‘แพแตก-ย้ายค่าย’ ในสภาวะ ‘สุญญากาศ’ นั่นเอง


