Deep SPACE พรรคเพื่อไทย ได้ฤกษ์ยกเครื่องใหม่ เพื่อจะกลับมาอีกครั้งในอีก 5-6 เดือนข้างหน้า และจะกลับมาใหญ่ภายใน 2 ปี ส่วนจะทำได้จริงหรือไม่ ประชาชนจะเป็นผู้ให้คำตอบในสนามเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น ติดตามใน Deep SPACE..ลึกกว่าที่รู้
วันพรุ่งนี้ อังคารที่ 7 ตุลาคม 2568 พรรคเพื่อไทย (พท.) ได้ฤกษ์ยกเครื่องใหม่ เพื่อจะกลับมาอีกครั้งในอีก 5-6 เดือนข้างหน้า ส่วนจะทำได้จริงหรือไม่ ประชาชนจะเป็นผู้ให้คำตอบในสนามเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น
สัปดาห์ที่ผ่านมา พท.หย่อนข้อความตัวโตๆ ผ่านหน้าเพจพรรคว่า ‘เพื่อไทยจะกลับมา 2 ปี กับผลงานใหญ่ เพื่อคนไทย’ และตามติดด้วยการปล่อยคลิปเปิดใจ แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรค ความยาว 23 นาที
ขอโอกาสให้ พท.ได้กลับมาทำงานต่อจากที่ แพทองธาร ได้วางรากฐานหลายอย่างไว้ในช่วงหนึ่งปีของการเป็น ‘นายกฯ เจนวาย’ และเป็นนายกฯ หญิงอายุน้อยที่สุดของไทย พร้อมกับขายความเป็น DNA พรรคไทยรักไทย สู่พรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน
แน่นอนว่า มีผู้เข้ามาแสดงความเห็นมากมาย ซึ่งค่อนไปทาง ‘เหน็บแนม’ เสียมากกว่า สาเหตุเพราะ พท.เพิ่งพ้นจากการเป็นรัฐบาลไปหมาดๆ โดยทิ้งซากปรักหักพังความเสียหายของบ้านเมืองเอาไว้มากมาย และแผลยังสดๆ อยู่
สรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว ซึ่งเป็นเลขาธิการพรรคเพื่อไทย น่าจะรับรู้ถึงกระแสสังคมที่มีต่อ พท.ยามนี้เป็นอย่างดี จึงไม่มีอะไรจะสื่อสารกับสังคมมากไปกว่าการสารภาพออกมาตรงๆ ว่า
‘เราทราบดีว่าที่ผ่านมามีคำวิจารณ์ทั้งบวกและลบส่งตรงถึงพรรคเพื่อไทย และคำวิจารณ์เหล่านั้นก็มาจากบุคคลภายนอก และคนในพรรค ซึ่งทีมงานพรรคเราน้อมรับและนำมาถอดบทเรียน ทำการบ้านกันภายใน และนำไปสู่ข้อสรุปบางอย่างเพื่อพัฒนาปรับปรุงพรรคให้ดีขึ้นต่อไป เพื่อให้พรรคเพื่อไทยยังเป็นตัวแทน และที่พึ่งที่หวังทางการเมืองของพี่น้องประชาชน’
สรวงศ์ว่าไว้แบบนี้
ไม่ว่าการยกเครื่องพรรคเพื่อไทย เพื่อนำไปสู่การยกเครื่องประเทศไทย จะไปลอกการบ้านพรรคไหนมาก็ตาม แต่การนัดหมายพบปะกันในวันอังคารที่ 7 ตุลาคม ถูกมองเป็นการ ‘ห้ามเลือด’ ไม่ให้ไหลออกเสียมากกว่า
ในสถานการณ์ที่ สส.ภาคอีสาน เริ่มเกิดอาการหวั่นไหว ไม่มั่นใจแบรนด์พรรคที่อยู่ช่วงขาลง จะยังขายได้อีกหรือไม่ในพื้นที่ที่เคยได้ชื่อเป็นเมืองหลวงพรรคเพื่อไทยมาก่อน
ที่สำคัญคำพูดสั้นๆ ในวันก่อน ‘สู้ๆ นะค่ะ’ ของคุณหญิงอ้อ พจมาน ดามาพงษ์ หมดความขลัง!!
การจัดอีเว้นท์ ‘ยกเครื่องเพื่อไทย’ จึงเกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน เพื่อหยุดเลือดไหลออก ก่อนแกนนำพรรคคนแล้วคนเล่า ที่ภักดีและเกิดจากแบรนด์เพื่อไทย แต่ที่ผ่านมาได้รับการดูแลจากพรรคเสมอเป็นลูกเมียน้อย โดยเฉพาะสส.ภาคอีสานที่น้อยเนื้อต่ำใจมาตลอด จะพากันพาเหรดเดินออกจากพรรคไป
ส่วนจะได้ผลหรือไม่ ให้รอดูจากปฏิบัติการแค้นฝังหุ่นของ พท.ที่ประกาศจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ‘หนู-อนุทิน’ ทันทีหลังการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
โดยไม่ต้องเสียเวลาถามหาความชอบธรรมหรือมารยาทกันว่า เร็วเกินไปหรือไม่ ทำไมไม่ปล่อยให้รัฐบาลใหม่ได้ทำงานไปสักระยะ 1-2 เดือนก่อน หรือว่าเวลาที่เหลืออยู่จะกระชั้นขนาดไหน เพราะสิ้นเดือนนี้ก็จะปิดสมัยประชุมแล้ว
ไหนจะมีเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ที่บรรจุวาระพิจารณาในวันที่ 14-15 ตุลาคมนี้ ยังมีร่างกฎหมายสำคัญเข้าคิวอยู่อีกหลายฉบับทั้งร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ที่อยู่ในวาระ 2-3 และร่างพ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข ที่จะเข้าพิจารณา วาระ 2-3 ในวันพุธที่ 22 ตุลาคม
คิวแน่นขนาดนี้ พท.ยังมีใจจะยื่นซักฟอกรัฐบาลอยู่อีกหรือ?
งานนี้ถ้าดับเพลิงแค้นที่สุมอยู่ในอกไม่ได้จริงๆ คงต้องรอไปว่าในสมัยประชุมถัดไป ที่จะเปิดฉากขึ้นในวันที่ 12 ธันวาคม แต่ก็มีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรอเข้าพิจารณาวาระ 2-3 อยู่อีกเหมือนกัน
เอาเป็นว่า ในช่วงรอยต่อส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ก่อนจะยุบสภาอีกไม่กี่วันนั่นแหล่ะ น่าจะลงตัวที่สุดหาก พท.มุ่งมั่นจะยื่นซักฟอกรัฐบาลจริงๆ และถ้านายกฯหนู ไม่ ‘ชิงยุบสภา’ หนีเสียก่อนก็อาจได้ซักฟอกสางแค้นส่งท้าย
แต่โจทย์ใหญ่ของ พท.ไม่ใช่ข้อจำกัดข้างต้น หากเป็นจำนวนสส.ที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 151 กำหนดเอาไว้ต้องมีไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 หรือ 100 เสียงขึ้นไปต่างหาก ที่จะเข้าชื่อกันยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจได้
นาทีนี้แม้ พท.จะมีสส.อยู่จำนวน 139 เสียงก็จริง แต่ถึงเวลาจะมีคนมาลงชื่อถึง 100 คนหรือเปล่า เพราะปัจจุบันมีสส.เพื่อไทยไม่ต่ำกว่า 40 คน ที่พร้อมไปในวันที่มีประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภา ไม่ใช่แค่ 10 สส.ที่โหวตให้อนุทิน ได้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 เท่านั้น
การเปิดเกมรุกทางการเมืองเข้าใส่รัฐบาลชั่วคราวของเพื่อไทย ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด จึงเป็นเพียงแค่การตรวจแถวเช็คชื่อ สส.ว่าใครจะยังอยู่หรือไปเสียมากกว่า


