สภาวะรัฐบาล ‘สุญญากาศ’ ภายหลัง ‘แพทองธาร ชินวัตร’ ถูกคำสั่งศาล รธน. ให้ ‘หยุดปฏิบัติหน้าที่’ จากกรณีคลิปเสียงสนทนา ‘ฮุน เซน’ ทำให้ ‘ภูมิธรรม เวชยชัย’ อำนาจเบ็ดเสร็จ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง - รมว.มหาดไทย ที่ทำหน้าที่ ‘รักษาการนายกฯ’ แม้ ‘ภูมิธรรม’ จะระบุว่าคุยกับ ‘กองทัพ’ ตลอด แต่สิ่งที่ปรากฏกลับเต็มไปด้วย ‘ระยะห่าง’
สำหรับ ‘โซ่ข้อกลาง’ ระหว่าง ‘รัฐบาล-กองทัพ’ คือ ‘บิ๊กเล็ก’พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ที่กลายเป็น ‘กันชน-ตำบลกระสุนตก’ ที่ต้องทำหน้าที่ ‘กันชน’ ในการตัดสินใจระหว่าง ‘รัฐบาล-กองทัพ’ อย่าลืมว่าสถานะ พล.อ.ณัฐพล คือ รมช.กลาโหม ที่เป็น ‘รักษาการ รมว.กลาโหม’ ของ ‘รัฐบาลเพื่อไทย’ แม้ว่าจะมาจากโควต้า ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ก็ตาม แต่ก็ต้องยึดตาม ‘นโยบายรัฐบาล’ ที่ต้องฟัง ‘กองทัพ’ ที่มองในมุม ‘ยุทธการ’ ควบคู่
ซึ่ง พล.อ.ณัฐพล เติบโตจากสายยุทธการ และเคยเป็นอดีต ‘เลขาธิการ สมช.’ ในยุคโควิดระบาดในยุค ศบค. ที่ตอนนี้ต้องมาเป็น ‘ผู้อำนวยการ ศบ.ทก.’ หรือ ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ที่มีโครงสร้างคล้ายๆ ศบค. ในอดีต แต่ในครั้งนี้ได้มอบให้ รมช.กลาโหม นำทัพเอง โดยมีเหตุผลสำคัญ คือ ‘รัฐบาล’ อยู่ในสภาวะ ‘สุญญากาศ’
ภาพที่ปรากฏจึงเกิดคำถามว่า ‘รัฐบาล-นายกฯ’ หายไปไหน กลายเป็นว่ากลไก ‘ราชการ-กองทัพ’ เป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก จึงเกิดภาพ ‘รัฐราชการ’ ในการรับศึกครั้งนี้ เพราะโครงสร้าง ศบ.ทก. มีเลขาธิการ สมช. และ ปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้องเป็น ‘รองผู้อำนวยการ’ และมี ‘คณะกรรมการ’ จากหน่วยงานต่างๆ
ว่ากันว่าทั้ง ‘ทักษิณ - แพทองธาร’ ไม่ขยับมากนัก เพื่อไม่ ‘สร้างเงื่อนไข’ เพิ่ม เพราะทั้งคู่มีภาพเป็น ‘คู่ขัดแย้ง’ แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่าในระยะหลังมานี้ ‘ฝั่งกัมพูชา’ ทั้ง ‘รัฐบาล-โซเชียลฯ’ แทบไม่วิจารณ์-ตอบโต้ ‘ทักษิณ - แพทองธาร’ แต่เป้าไปตกที่ ‘กองทัพ - แม่ทัพภาคที่ 2’ มากกว่า อีกส่วนหนึ่งที่ ‘แพทองธาร’ มีแอคชั่นต่อเหตุการณ์ไม่มากนัก เพราะอยู่ระหว่างถูกสั่ง ‘หยุดปฏิบัติหน้าที่’ ด้วย
ท่าทีของ ‘ภูมิธรรม’ ในการแสดงบทบาท ‘ผู้นำ’ แทน ‘นายกฯแพทองธาร’ เป็นเพียง ‘หน้าที่’ โดยตำแหน่งเท่านั้น เพราะ ‘ฝ่ายราชการ’ จัดแจงให้เรียบร้อยแล้ว เช่น การบินไปประเทศมาเลเซีย เพื่อเจรจายุติหยุดยิง ก็เป็นเพียง ‘ผู้นำเชิงสัญลักษณ์’ เท่านั้น
ซึ่งยิ่งตอกย้ำว่า ‘ประเทศ’ ไร้ ‘ผู้นำ’ ตอนนี้ สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้สัมพันธ์ ‘รัฐบาล-ประชาชน’ ขยับออกห่างขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้สังคมหา ‘ที่พึ่ง-ที่ยึดเหนียว’ จึงตกไปที่ ‘กองทัพ’ ที่มีภาพเป็น ‘พวกเดียว’ กับสังคม มากกว่า ‘รัฐบาล’ ที่ถูกผลักไปเป็น ‘คู่ตรงข้ามสังคม’ ตั้งแต่เกิดกรณีคลิปเสียง
อีกปรากฏการณ์ที่ตีคู่คือภาพ ‘ทหารฟีเวอร์’ หรือ ‘ลัทธิทหาร’ ในการยกย่อง ‘กองทัพ-ทหารแนวหน้า’ ที่ทำหน้าที่ของตัวเองตาม รธน. ในการปกป้องอธิปไตย เกิดการ ‘สูญเสีย-บาดเจ็บ’ เกิดขึ้นจริง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบ 14 ปี นับตั้งแต่เหตุการณ์ ‘ศึกเขาพระวิหาร’ ปี 2554 ระหว่างไทย-กัมพูชา
ในอีกแง่กระแส ‘ทหารฟีเวอร์’ ทำให้แนวคิดฝั่ง ‘อนุรักษนิยม’ ในสังคมไทยแรงขึ้น โดยช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ที่มีกระแส ‘ชาตินิยม - ปกป้องอธิปไตย’ ตีคู่มาพร้อมกัน จึงเป็นแรง ‘เบียดขับ-วัดพลัง’ กับฝั่ง ‘เสรีนิยม’ ที่มี ‘พรรคประชาชน’ เป็นภาพตัวแทน
แนวคิดของ ‘พรรคประชาชน’ มีรากฐานจากอดีต ‘พรรคอนาคตใหม่-พรรคก้าวไกล’ หนึ่งในประเด็นเรือธง คือ ‘ปฏิรูปกองทัพ’ ที่ถูกใช้เป็น ‘นโยบายหาเสียง’ เรียก ‘คะแนนเสียง’ ได้อย่างมาก เพราะการเลือกตั้ง 2 ครั้ง ต้องสู้กับ ‘ลุง’ ที่เป็น ‘อดีตนายทหาร’ ที่มาตั้ง ‘พรรคการเมือง’
กระแสธาร ‘เบื่อลุง’ ทำให้ ‘พรรคขั้วสีส้ม’ ได้แนนจำนวนมาก หนึ่งในวาทะสำคัญ คือ “มีทหารไว้ทำไม” ที่กำลังถกเถียงในปัจจุบัน ซึ่งฐานคิดของ ‘ขั้วพรรคสีส้ม’ คือ ต้องการให้ ‘ทหาร’ ออกจากพื้นที่ ‘การเมือง’ ป้องกันการทำ ‘รัฐประหาร’
แต่การหา ‘หาเสียง-ปราศรัย’ ล้ำไปถึง ‘ยุทธวิธีทหาร’ ที่ในวันนี้มีเหตุ ‘สู้รบ’ มีคนเสีย ‘เลือดเนื้อ’ เกิดขึ้นจริง จึงทำให้เป็นคำพูดที่ ‘ย้อนกลับไป’ หาผู้พูด ในการประเมิน ‘ภัยคุกคาม’ ต่างๆ ทำให้ ‘พรรคขั้วสีส้ม’ ต้องระมัดระวังมากขึ้น อีกทั้งขั้วตรงข้าม ‘พรรคสีส้ม’ ก็มี ‘ข้อมูล-หลักฐาน’ ใช้ ‘ตอบโต้-หักล้าง’ ในอนาคตด้วย
หากดูท่าที ‘พรรคประชาชน’ ก็ไม่แสดงท่าที ‘สวนกระแส’ เท่าใดนัก เช่น ท่าทีต่อกองทัพ , การจัดหายุทโธปกรณ์ เป็นต้น แต่ก็ใช่ว่าจะ ‘ไหลตามสังคม’ ไปทั้งหมด เพราะพรรคประชาชนก็ต้อง ‘รักษาจุดยืนพรรค’ เอาไว้ด้วย
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องจับตาต่อไป คือ กระแส ‘ทหารฟีเวอร์’ และพลัง ‘อนุรักษนิยม-ชาตินิยม’ จะยืนระยะไปถึง ‘เลือกตั้ง’ ปี 2569-70 หรือไม่ ? รวมทั้งการจัดวาง ‘สมดุลอำนาจ’ ระหว่าง ‘ชนชั้นนำ-กองทัพ-กลไกการเมือง’ ผ่านภูมิทัศน์การเมืองไทยที่มีความ ‘ซับซ้อนสูง’ จะเป็นอย่างไร ? รวมถึงการหาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า นโยบาย ‘ชาตินิยม-อนุรักษนิยม’ จะถูกชูโรงได้หรือไม่ หรือจะกลับไปนโยบาย ‘ปากท้อง-เศรษฐกิจ’ เป็นหลักเช่นเดิม
เว้นแต่เกิดสภาวะ ‘การเมือง’ ที่ถึง ‘ทางตัน’ ต้องใช้กลไกนอก รธน. มาจัดการ !!