กางญัตติ ‘สส.ภูมิใจไทย’ ชงสภาฯ ถกยกเลิก ‘MOU 43-44’ ไม่รับอำนาจศาลโลก

31 ก.ค. 2568 - 11:11

  • เปิดญัตติ ‘สส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย’ ชงสภาฯ

  • ถกยกเลิก MOU 43-44 และไม่รับอำนาจศาลโลก

  • ยืนกรานปกป้องดินแดน–เกียรติภูมิชาติ

กางญัตติ ‘สส.ภูมิใจไทย’ ชงสภาฯ ถกยกเลิก ‘MOU 43-44’ ไม่รับอำนาจศาลโลก

ภายหลังจากที่ สฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย พร้อมตัวแทนจากพรรคร่วมฝ่ายค้านที่ลงชื่อจำนวน 34 คน เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาดำเนินการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU ปี 2543 และ MOU ปี 2544 ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา ต่อ พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่หนึ่ง ไปเมื่อวานนี้ (30 ก.ค. 2568)

ผู้สื่อข่าวได้เปิดเผยรายละเอียดที่ สส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย ทำหนังสือถึงประธานรัฐสภา เรื่องขอเสนอให้มีการเรียกประชุมร่วมกันของรัฐสภาโดยด่วน เพื่อพิจารณาการไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และการยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างประเทศไทย - ประเทศกัมพูชา โดยเนื้อหาสำคัญระบุว่า

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยและกัมพูชาได้มีข้อพิพาททางดินแดน โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ปราสาทพระวิหารและพื้นที่ใกล้เคียง รวมถึงพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติไทย ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ ความมั่นคง และทรัพยากรธรรมชาติ การที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice : ICJ) ได้มีคำวินิจฉัยในปี พ.ศ. 2556 กรณีข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาเกี่ยวกับการตีความคำพิพากษาปี พ.ศ. 2505 นั้น

โดยคำตัดสินเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2505 มีข้อสงสัยและข้อโต้แย้งในสังคมไทยอย่างกว้างขวางว่า “คำวินิจฉัยชี้ขาดเรื่องเส้นเขตแดนระหว่างประเทศทั้งสองดังกล่าวไม่ได้ยึดหลักข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ และหลักกฎหมายระหว่างประเทศอย่างแท้จริง”

อีกทั้งยังอาจกระทบต่ออธิปไตยของไทยเหนือดินแดนบริเวณดังกล่าว โดยเฉพาะเมื่อมีการตีความว่าไทยต้องถอนกำลังออกจากพื้นที่ที่ผมถือครองมาโดยตลอด และยกให้กัมพูชาเข้าปกครองโดยพฤตินัย ซึ่งส่งผลกระทบในทางยุทธศาสตร์และความมั่นคงของประเทศอย่างยิ่ง

นอกจากคำวินิจฉัยของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศที่ไม่อาจยอมรับได้ในเชิงผลประโยชน์แห่งชาติแล้ว ยังมีปัญหาเรื้อรังเกี่ยวกับ “บันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU)” ที่ฝ่ายบริหารของไทยได้ลงนามไว้กับกัมพูชา โดยเฉพาะบันทึกความเข้าใจฉบับที่ 44 ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการยอมรับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล การสำรวจทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน และการเจรจาแบ่งผลประโยชน์ โดยที่ไม่ได้นำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา อันอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 178 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า “การทำสนธิสัญญาที่กระทบต่ออธิปไตย หรือเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของรัฐ ต้องผ่านการให้ความเห็นชอบของรัฐสภา”

การดำเนินการใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่ออธิปไตยและผลประโยชน์ของประเทศ โดยไม่ได้รับการตรวจสอบจากรัฐสภา ไม่เพียงแต่เป็นการล่วงละเมิดบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ หากยังเป็นการลดทอนเกียรติภูมิของชาติ และเปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในเขตแดนของไทย โดยที่ประชาชนไทยอาจไม่ได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรม หรือเสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดนอย่างถาวร

ทั้งนี้ มติคณะรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี พ.ศ. 2552 ให้เหตุผลว่า “ประเทศไทยไม่สามารถดำเนินการตามข้อตกลงได้ เนื่องจากมีผลกระทบต่ออธิปไตยของชาติและไม่ผ่านรัฐสภา” ซึ่งถือเป็นแนวทางสำคัญที่รัฐสภาควรพิจารณาเป็นแบบอย่างในครั้งนี้

ด้วยเหตุผลทั้งหมดดังกล่าว ผมเห็นว่า รัฐสภาในฐานะสถาบันสูงสุดของการใช้อำนาจอธิปไตยตามระบอบประชาธิปไตย จะต้องมีบทบาทอย่างเด็ดขาดในการแสดงเจตจำนงของชาติไทย และปกป้องผลประโยชน์ของประเทศโดยไม่มีเงื่อนไข

จึงใคร่ขอเสนอให้ท่านประธานรัฐสภา ได้ดำเนินการเรียกประชุมร่วมกันของรัฐสภาโดยเร่งด่วน เพื่อพิจารณาดำเนินการใน 2 ประเด็นหลัก ได้แก่

  1. การไม่ให้การรับรอง หรือไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ในกรณีข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา หากคำวินิจฉัยดังกล่าวมีผลกระทบต่ออธิปไตยและเขตแดนของไทย
  2. การพิจารณายกเลิกบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding - MOU) ฉบับที่ 43 (ว่าด้วยแนวเขตทางบก) และฉบับที่ 44 (ว่าด้วยเขตทางทะเล) ที่ไม่ได้ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา และอาจมีผลกระทบต่อเขตแดนและผลประโยชน์แห่งชาติ

การประชุมร่วมกันของรัฐสภาในครั้งนี้ จะเป็นหลักฐานสำคัญว่า “ประเทศไทยมีความมั่นคงในหลักการ มีจุดยืนชัดเจนต่อเวทีระหว่างประเทศ และสามารถดำรงไว้ซึ่งอธิปไตยของตนเองอย่างมั่นคง”

หากไม่มีการดำเนินการในทันที อาจก่อให้เกิดความเสียหายที่ไม่อาจแก้ไขได้ในอนาคต ทั้งในเชิงกฎหมาย ทรัพยากร และเกียรติภูมิของชาติ

ในการนี้ ผมจึงเห็นว่าหากได้มีการเรียกประชุมร่วมกันของรัฐสภาโดยด่วน เพื่อพิจารณาการไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และการยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญ และปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนและแผ่นดินไทยโดยแท้จริง

bhumjaithai-mp-urges-parliament-to-reject-icj-verdict-and-terminate-mou-cambodia-SPACEBAR-Photo01.jpg
bhumjaithai-mp-urges-parliament-to-reject-icj-verdict-and-terminate-mou-cambodia-SPACEBAR-Photo02.jpg

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์


กางญัตติ ‘สส.ภูมิใจไทย’ ชงสภาฯ ถกยกเลิก ‘MOU 43-44’ ไม่รับอำนาจศาลโลก