เมื่อพูดถึง ศาลาแดง วันนี้ หลายคนคงนึกถึงย่านหรูใจกลางกรุงเทพฯ เต็มไปด้วยตึกสูง คอนโดหรู และเร็ว ๆ นี้คือแลนด์มาร์กใหม่ Dusit Central Park แต่ถ้าย้อนกลับไปในอดีต ย่านนี้ไม่ได้ “สดใส” แบบทุกวันนี้… ตรงกันข้ามเลย มันเต็มไปด้วย เงามืด เรื่องเล่าลึกลับ และบรรยากาศชวนขนลุก
ฆาตกรต่อเนื่องในซอยศาลาแดง กลางทศวรรษ 1970 ชื่อของ Charles Sobhraj หรือที่คนทั่วโลกรู้จักกันในนาม The Serpent โด่งดังไปทั่วโลกในฐานะฆาตกรต่อเนื่องที่ใช้เสน่ห์และเล่ห์กลกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ หนึ่งในสถานที่ที่เขาใช้ซ่อนตัวและวางแผนคือ Kanit House อพาร์ตเมนต์ในซอยศาลาแดง ปัจจุบันอาคารนี้ถูกทุบทิ้งไปแล้วและกลายเป็นคอนโด The Legend Saladaeng แต่ในยุคนั้น ชื่อ Kanit House กลายเป็น “จุดมืด” ในความทรงจำของกรุงเทพฯ ผลจากคดีนี้ทำให้ศาลาแดงถูกมองว่า อันตราย ไม่ใช่ย่านเดินเล่นสบายใจ และฝังภาพจำ “ย่านหลอน” ในใจคนรุ่นก่อน
บ้านศาลาแดง–คฤหาสน์โอสถานุเคราะห์ ไม่ไกลกัน ยังมีอีกหนึ่งแลนด์มาร์ก คือ บ้านศาลาแดง คฤหาสน์ตระกูล โอสถานุเคราะห์ ที่สร้างขึ้นราวสงครามโลกครั้งที่ 2 ตัวบ้านสีขาวสไตล์เยอรมัน Fachwerk หรูหรากว่า 4.5 ไร่ แต่กลับ ถูกปิดร้างนานเกือบ 40 ปี ความเงียบของคฤหาสน์ใหญ่กลางเมือง บวกกับการที่ไม่มีใครเข้าออก ทำให้บ้านหลังนี้ถูกเล่าต่อกันว่า “มีผี” “มีคำสาป” และกลายเป็นตำนานปากต่อปากในหมู่คนพื้นที่ โดยเฉพาะช่วง 70s–80s ที่บรรยากาศศาลาแดงยังเต็มไปด้วยความมืดและความรกร้างบางจุด
จากความหลอนสู่แลนด์มาร์ก เวลาผ่านไป บ้านศาลาแดงถูกฟื้นขึ้นชั่วคราวในชื่อ “บ้านดุสิตธานี” (2019) ก่อนที่พื้นที่ตรงนี้จะถูกรวมเข้าโครงการยักษ์ Dusit Central Park ที่จะกลายเป็นไอคอนใหม่ของกรุงเทพฯ
ตำนาน “บ้านผีสิง” และ “ที่พักฆาตกรต่อเนื่อง” เลือนหายไป เหลือไว้แต่ร่องรอยความทรงจำ ว่าย่านศาลาแดงก็มี “Dark Chapter” ในประวัติศาสตร์เมืองเหมือนกัน
จาก Old Vibes ย่านที่คนขนหัวลุก เพราะโยงกับคดีดังและเรื่องลึกลับ กลายเป็น New Icon ที่ถูกรีเซ็ตใหม่ กลายเป็นศูนย์กลางหรูหราและแลนด์มาร์กแห่งอนาคตของกรุงเทพฯ นี่แหละเมืองมีชีวิต และย่านหนึ่ง ที่มีทั้งแสงและเงา เมื่อเวลาผ่านไป “เงามืด” อาจกลายเป็น “เสน่ห์” ที่เล่าต่อได้ไม่รู้จบ
