หยุดส่งต่อความเชื่อผิดๆ ที่บอกว่า ‘ให้หาสายรัดเหนือแผลถ้าโดนงูฉก’

30 ส.ค. 2568 - 08:00

  • การรัดเหนือแผลงูกัดเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้อาการรุนแรงขึ้นจากการศึกษาผู้ป่วยกว่า 600 ราย

  • พิษงูแพร่กระจายผ่านระบบน้ำเหลืองไม่ใช่กระแสเลือด การรัดไว้จึงไม่สามารถหยุดพิษได้

  • WHO และ CDC แนะนำอย่างชัดเจน "ห้ามใช้สายรัดห้ามเลือด" เมื่อถูกงูกัด

หยุดส่งต่อความเชื่อผิดๆ ที่บอกว่า ‘ให้หาสายรัดเหนือแผลถ้าโดนงูฉก’

ประเทศไทยอย่างที่รู้ว่าฤดูกาลแสนจะแปรปรวนจนเกือบจะแยกไม่ได้แล้วว่าช่วงไหนฤดูร้อน ช่วงไหนฤดูฝน และช่วงไหนฤดูหนาว ด้วยความแปรปรวนของสภาพอากาศและช่วงนี้เป็นช่วงที่มีฝนตกชุก แน่นอนว่างูหรือสัตว์เลื้อยคลานมักจะออกมาเซย์ไฮพบปะผู้คนบ่อยกว่าปกติเพราะฝนทำให้พื้นที่หลบซ่อนในโพรงหรือท่อระบายน้ำมีน้ำขัง บรรดาสัตว์เหล่านี้จึงออกมาหาที่แห้งและอาหาร นี่คือเหตุผลที่เรามักเห็นข่าวคนถูกงูฉกหรือกัดในช่วงฝนตก 

ทุกครั้งที่เกิดเหตุด้วยความที่เคยร่ำเรียนมาในวิชาลูกเสือในเรื่องการเอาตัวรอดในป่า หลายคนยังคงเชื่อว่า ‘ถูกงูฉกต้องรีบรัดเหนือแผล’ เพื่อกันพิษแพร่กระจายเข้าสู่หัวใจ แต่ความจริงแล้ววิธีนี้อันตรายมากและอาจทำให้ผู้ป่วยสูญเสียอวัยวะหรือถึงแก่ชีวิตได้เลยทีเดียว 

ทำไมการรัดบริเวณเหนือแผลงูฉกถึงอันตราย? 

  • พิษงูไม่ได้วิ่งเข้ากระแสเลือดทันทีแต่ถูกดูดซึมผ่านระบบน้ำเหลืองไม่ใช่เลือด การรัดแน่นจึงไม่ช่วยหยุดพิษ 
  • การรัดบริเวณเหนือปากแผลจะทำให้พิษสะสมอยู่ในบริเวณเดียวทำให้เนื้อเยื่อส่วนนั้นถูกทำลายมากขึ้น 
  • เมื่อคลายส่วนที่รัดออกพิษจะทะลักเข้าสู่กระแสเลือดรวดเดียว เสี่ยงต่ออาการช็อกและเสียชีวิต 

งานวิจัยในจีนที่ศึกษาผู้ป่วยถูกงูกัดกว่า 600 รายพบว่า คนที่ใช้สายรัดห้ามเลือด (Tourniquet) จะมีอาการรุนแรงกว่าคนที่ไม่ได้ใช้ และมีรายหนึ่งถึงกับต้องตัดขาเพราะเนื้อตายจากการขาดเลือด 

นอกจากงานวิจัยในจีนแล้วยังมีคำเตือนจากแพทย์ทั่วโลกอีกด้วย เช่น องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) และ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (Centers for Disease Control and Prevention: CDC) จากสหรัฐอเมริกา ยืนยันตรงกันว่า ห้ามใช้สายรัดห้ามเลือด (Tourniquet) ส่วนทางฝั่งการรักษาในไทยอย่างโรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลนครธน รวมถึงโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย มีบทความที่ระบุอย่างชัดเจนว่า “ห้ามขันชะเนาะเมื่อถูกงูกัดหรือฉก” เพราะจะทำให้ผลการรักษาแย่ลง 

วิธีรักษาเบื้องต้นหากถูกงูฉกหรือกัด 

  1. ตั้งสติและห้ามรัดแน่นเหนือแผล 
  2. ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่ หรือหากหาน้ำเกลือได้ก็ให้ใช้น้ำเกลือล้างแผล 
  3. ถอดแหวน นาฬิกา หรือของที่รัดใกล้แผล เพราะอาจทำให้เกิดอาการบวม 
  4. จัดอวัยวะให้อยู่ในระดับเดียวกับหัวใจหรือต่ำกว่า 
  5. รีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด 
  6. หากจำลักษณะงูได้หรือถ่ายรูปไว้จะช่วยให้แพทย์เลือกใช้ยาแก้พิษได้เร็วขึ้น แต่ถ้าหากจับงูตัวที่กัดไปให้แพทย์ได้จะทำให้ง่ายต่อการรักษามากกว่า 

สิ่งสำคัญคืออย่าหลงเชื่อวิธีผิดๆ อย่าง ‘การรัดเหนือแผล’ เพราะไม่เพียงไม่ช่วยแต่ยังเพิ่มความเสี่ยงถึงชีวิต การปฐมพยาบาลที่ถูกต้องและรีบไปโรงพยาบาลเท่านั้นที่จะช่วยชีวิตได้ 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์