มหาอุทกภัยหาดใหญ่ ที่ทำให้เมืองทั้งเมืองจมอยู่ใต้น้ำ ไม่เพียงทำให้เกิดการสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินครั้งใหญ่ แต่ยังทำลายความน่าเชื่อถือในตัวของ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลพรรคภูมิใจไทยไปพร้อมๆ กันด้วย
เพราะไร้ความสามารถในการรับมือปัญหาภัยพิบัติขนาดใหญ่ จนนำไปสู่วิกฤติใหญ่หลวงขึ้น
หลังเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 และนำรัฐบาลเสียงข้างน้อยเข้าบริหารประเทศ "อนุทิน" ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี ตั้งแต่การวางตัวคนนอกที่เป็นมืออาชีพ เข้ามาดูแลเรื่องเศรษฐกิจและด้านการต่างประทศ
ทั้งยังจัดการปัญหาข้อพิพาทกับประเทศเพื่อนบ้าน ในสไตล์ถึงลูกถึงคน แรงมาแรงไป ไม่มีคำว่าอ่อนข้อ และทำหน้าที่ตัวแทนประเทศไทยในเวทีระดับนานาชาติ ทั้งเวทีเอเปก เวทีอาเซียนซัมมิต ได้แบบไม่ต้องอายใคร
จนได้ชื่อเป็นผู้นำพาประเทศไทยกลับสู่จอเรดาร์โลกได้อีกครั้ง
ทำให้ในช่วงสองเดือนเศษที่ผ่านมา ผลโพลแต่ละสำนักที่ออกมา จึงให้ความนิยมในตัวอนุทินและพรรคภูมิใจไทยอยู่ในลำดับต้นๆ ทั้งที่ในอดีตเป็นพรรคการเมืองที่หลบโพล ไม่เคยมีชื่อติดอยู่ในโพลสำนักไหนด้วยซ้ำ
แต่พอก้าวขึ้นสู่เก้าอี้นายกฯ กลับทำให้คะแนนนิยมในตัวอนุทินและพรรคสีน้ำเงิน เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ทว่าทันทีที่เกิดมหาอุทกภัยกับเมืองธุรกิจสำคัญอย่างหาดใหญ่ เสมือนธรรมชาติจงใจ ออกข้อสอบทดสอบความสามารถการเป็นผู้นำของอนุทิน ที่เรตติ้งกำลังพุ่งแรง และภูมิใจไทยที่เป็นพรรคการเมือง ที่มีความพร้อมมากที่สุดในการเลือกตั้ง จะเหมาะกับการให้นำพาบ้านเมืองไปต่อตามสูตร 4+4 หรือไม่
จากฝีมือการแก้โจทย์น้ำท่วมหาดใหญ่ของนายกฯ อนุทิน ในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา ทำให้เรตติ้งการเมืองที่พุ่งกระฉูดตลอดสองเดือนแทบจะหายวับไปกับตา รวมทั้ง กลุ่มบ้านใหญ่ทั้งหลาย ที่เป็นความหวังจะให้เพิ่มจำนวนสส.ในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะใน จ.สงขลา ก็เริ่มมีความไม่แน่นอนด้วย
ดังนั้น จึงได้เห็นการปรับแผนการทำงานของนายกฯ อนุทิน วันหนึ่งหลายรอบ เพื่อหวังกอบกู้คะแนนนิยมที่เสียไปกลับมา ตอนแรก ประกาศจะปักหลักสั่งการจากวอร์รูมในทำเนียบรัฐบาล ไม่ไปไหน แต่ต่อมา ปรับแผนใหม่ไปลงพื้นที่แทน
แถมประกาศขึงขังกลางที่ประชุมในกองบิน 56 จ.สงขลา "จะอยู่ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย หากไม่มีเหตุจำเป็นอื่นจะไม่บินกลับโดยเด็ดขาด"
ในเวลาต่อมาถูกผู้สื่อข่าวถามย้ำ กลับมีท่าทีอ่อนลงบอก "จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อบัญชาการทุกอย่างร่วมกัน โดยมีผู้บัญชาการทหารสูงสุด บัญชาการในพื้นที่ ส่วนตัวเองจะไปๆ มาๆ เพราะศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย อยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล"
ดูจากอาการกลับลำของนายกฯ หนูแล้ว น่าจะอยู่ระหว่างการปรับจูนสัญญาณ ยังตั้งลำไม่ได้ว่าจะเดินไปซ้ายหรือขวาดี แต่ที่แน่ๆ ทีมงานโดยเฉพาะสื่อเล็ก สื่อใหญ่ ในสังกัดพรรคสีน้ำเงิน คงต้องออกแรงกันอย่างหนัก เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นกลับคืน
แน่นอนคงต้องเรียกแผนกันใหม่ จากเดิมที่หวังจะเล่มเกมเร็ว อาจต้องทอดเวลายุบสภากลับไปที่กำหนดเดิม เพราะขืนเดินหน้าเลือกตั้งเร็ว คงมีแต่เสียกับเสีย อย่างน้อยต้องแก้มือด้วยการกู้วิกฤติหาดใหญ่ให้ฟื้นกลับมาโดยเร็วก่อน
ฝนสามร้อยปี ที่จมเมืองหาดใหญ่หนนี้ จึงนำไปสู่จุดเปลี่ยนการเมืองด้วย แม้คนในรัฐบาลจะโยนบาปเป็นความล้มเหลวของผู้บริหารท้องถิ่น แต่รัฐบาลก็เลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องรับไปเต็มๆ ในฐานะผู้บริหารประเทศ ที่ทำงานแบบสะเปะสะปะ สภาพไม่ต่างกับมวยวัด จนถูกมองเป็นรัฐล้มเหลว
ภารกิจรัฐบาลวันๆ เอาแต่ย้ายข้าราชการรองรับการเลือกตั้ง เน้นบริหารการเมืองเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบคนอื่น มากกว่ามุ่งหน้าบริหารบ้านเมือง เมื่อไม่ใช่ของจริง มากับเขา (กระโดง) ก็ต้องไปกับน้ำ (ท่วมหาดใหญ่)
ฉุดคะแนนนิยม "อนุทิน" กับรัฐบาลสีน้ำเงิน หายไปพร้อมกับมหาอุทกภัยที่หาดใหญ่


