หลังการสูญเสียครั้งใหญ่ของคนไทยทั้งประเทศ เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา ยังไม่มีใครออกมาพูดถึงไทม์ไลน์การเมือง 120 วัน "ยุบสภา" ตาม MOA ที่พรรคภูมิใจไทยได้ทำกับพรรคประชาชนไว้
ไทม์ไลน์ทุกอย่างจะยังเป็นไปตามแผนเดิมอยู่อีกหรือไม่?
มีเพียงคนเดียว ณัฐพงศ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ที่ให้ความเห็นไว้ในวันประชุมใหญ่วิสามัญประจำปีพรรคฯ ว่า ไม่น่าจะเป็นเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกัน คิดว่ารัฐบาลสามารถทำได้ทั้งสองส่วนไปพร้อมๆ กัน
"ผมเชื่อว่ารัฐบาลสามารถบริหารจัดการได้ ถ้าคำถามนี้หมายถึงกรณีเสด็จสวรรคต ที่พี่น้องประชาชนรู้สึกเศร้าสลดเสียใจ ทางรัฐบาลสามารถแยกการบริหารจัดการได้อยู่แล้ว ในการไว้ทุกข์และจัดงานพระราชพิธีต่างๆ ให้เป็นไปโดยเป็นระเบียบเรียบร้อย รวมถึงการจัดการเลือกตั้ง การเดินหน้ากระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งเป็นกระบวนการในสภา"
เป็นความเห็นที่สอดคล้องกับมติครม.นัดพิเศษ 25 ตุลาคม 2568 ที่ไม่ได้ห้ามหรืองดกิจกรรมใด ๆ ทั้งงานรื่นเริง สถานบันเทิง สถานประกอบการต่าง ๆ งานบวช งานแต่ง ให้เป็นไปตามประเพณี เพียงแต่ปรับรูปแบบให้เหมาะสมเท่านั้น
ถ้าเป็นไปตามนี้ การเมืองก็ยังคงนับถอยหลังสู่การเลือกตั้งใหม่ตามปฏิทินเดิม คือ ยุบสภาไม่เกินวันที่ 31 มกราคม 2569 เลือกตั้งทั่วไปในวันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2569 หรืออย่างช้าสัปดาห์แรกของเดือนเมษายน
ขณะที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การทำประชามติสอบถามประชาชนว่า เห็นควรมีการจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่หรือไม่ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมาธิการวิสามัญ วาระ 2 ก็เดินหน้าพิจารณากันไป และไม่ต้องเร่งรีบเพราะกฎหมายประชามติฉบับแก้ไขประกาศใช้แล้ว ทำให้กรอบเวลาทำประชามติยืดหยุ่นได้ระหว่าง 60-150 วัน
ไม่ต้องขอเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญรองรับการพิจารณา วาระ 2 ในเดือนพฤศจิกายนนี้
มีเวลาเหลือพอพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญตามกรอบเวลายุบสภา 120 วันได้สบาย ๆ ถ้าไม่มีอุบัติเหตุการเมืองอย่างอื่นแทรกเข้ามาเสียก่อน อาทิ การยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เป็นต้น ซึ่่งคนยื่นต้องตระหนักเพิ่มเป็นสองเท่า
เพราะลำพังสถานการณ์ปกติ ก็ต้องระวังเรื่องไปขัดขาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ยิ่งบ้านเมืองอยู่ในภาวะโศกเศร้า สมควรหรือไม่ที่พรรคเพื่อไทยจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในห้วงเวลาแบบนี้
เว้นเสียแต่รัฐบาลได้สร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้กับบ้านเมืองชนิดที่มิอาจปล่อยผ่านไปได้
แต่ดูแล้วสถานการณ์คงไปไม่ถึงจุดนั้น เพราะเรื่องที่จะนำมาซักฟอกรัฐบาลล้วนแต่เป็น "กรรมเก่า" ที่ดินเขากระโดงกับคดีฮั้วสว.ส่วนปัญหา "สแกมเมอร์-สแกมโม่ง" รัฐบาลก็กำลังเร่งจัดการอยู่
หรือกรณี "คิวแทรก" เรื่องแร่หายากที่ไทยลงนามกับสหรัฐ ในปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ สด ๆ วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา ก็น่าจะยังพออธิบายได้ ไม่ถึงขั้นจุดกระแสการเมืองให้ร้อนแรงขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน
เมื่อเป็นแบบนี้ ไทม์ไลน์ที่วางไว้ 120 วัน ยุบสภา-เลือกตั้งใหม่ ก็ไม่น่าจะมีปัญหา รัฐบาลสามารถบริหารจัดการ ทำทั้งสองส่วนควบคู่กันไปอย่างที่ "เท้ง-ณัฐพงศ์" ว่าไว้ตอนต้น
แต่จะมีคำถามตามมาว่าทำได้แล้วมีความเหมาะสมหรือไม่?
ถึงตอนนั้น วิญญูชนทั้งหลายคงร่วมกันให้คำตอบได้ เพราะอายุของสภาชุดนี้ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566 ตอนนี้อยู่ในสมัยประชุมปีที่ 3/1 และจะปิดสมัยประชุมในวันที่ 30 ตุลาคมนี้
จากนั้น จะเปิดสมัยประชุมปีที่ 3/2 ในวันที่ 12 ธันวาคม ไปสิ้นสุดสมัยประชุมในวันที่ 10 เมษายน 2569 และครบวาระ 4 ปี ในวันที่ 10 เมษายน 2570 เท่ากับสภาชุดที่ 26 ยังมีเวลาเหลืออีกร่วมสองปี
เมื่อวีซ่าการเมืองยังไม่หมด แต่สถานการณ์ประเทศเปลี่ยน จึงต้องมาดูว่าจะมีการปรับเปลี่ยนไทม์ไลน์การเมืองกันใหม่ให้เกิดความเหมาะสมตามกาลอย่างไรหรือไม่?


