การประชุม GBC : General Border Committee ไทย–กัมพูชา สมัยวิสามัญ ที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 พร้อมข้อตกลงร่วมกัน 13 ข้อ และข้อที่ตกลงกันไม่ได้อีกฝ่ายละ 2 ข้อ รวม 4 ข้อ ที่ดูเหมือนการประชุมจะจบลงด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย และมีแนวโน้มสัญญาณที่ดี
แต่เบื้องหลังการประชุมที่กว่าจะได้ข้อยุติ บรรยากาศการประชุมระดับฝ่ายเลขาธิการของทั้งสองฝ่าย เต็มไปด้วยความมาคุ เพราะเงื่อนไขแต่ละข้อ ถึงฝั่งไทยจะได้รับฉันทานุมัติให้ เสธฯเอี่ยว พล.ท.ณัฐพงษ์ เพราแก้ว เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร ในฐานะหัวหน้าคณะชุดเล็ก สามารถตัดสินใจได้ในระดับหนึ่ง แต่ฝ่ายกัมพูชา กลับต้องประสานกลับไปยังกรุงพนมเปญทุกครั้ง เพื่อขอคำตอบ ทำให้ต้องรอถึงเที่ยงคืนของวันที่ 5 สิงหาคม 2568 กว่าจะได้ข้อตกลงทั้ง 13 ข้อ ที่ลงนามร่วมกัน
โดยเฉพาะช่วงเย็นวันที่ 5 สิงหาคม มีกระแสข่าวว่า การประชุมระดับรัฐมนตรีในวันที่ 7 สิงหาคม อาจถูกยกเลิก เพราะฝ่ายกัมพูชายังไม่ให้คำตอบที่ฝ่ายไทยเรียกร้อง ก่อนที่จะได้ข้อยุติ และมีคำสั่งดำเนินการตามกำหนดการเดิม เมื่อได้รับคำตอบจากทางกัมพูชาว่า ตกลงตามที่ฝ่ายไทยเสนอ
ข้อตกลงที่ถกกันมากที่สุด และไม่มีข้อยุติ คือ ข้อเสนอของกัมพูชาที่ขอให้ไทยเปิดด่าน และขอให้ยกเลิกปฏิบัติการทางอากาศ หากมีความขัดแย้ง และมีการใช้กำลังปะทะกันอีก
…แต่ทั้ง 2 ข้อ ฝ่ายไทยไม่สามารถให้ได้
ส่วนข้อเสนอฝ่ายไทยที่กัมพูชา ไม่ยอมถอยให้ คือ การปราบปรามขบวนการคอลเซ็นเตอร์ และ การเก็บกู้ทุ่นระเบิดจากบริเวณชายแดนที่พิพาททั้งหมด
ข้อเสนอที่คุยกันนาน และตกลงกันได้โดยพบกันครึ่งทาง คือ ข้อ 6 กรณีที่กัมพูชาขอให้ไทยรับผู้บาดเจ็บจากฝั่งกัมพูชามารักษาในโรงพยาบาลฝั่งไทย
ข้อนี้ ไทยยืนยันไม่สามารถรับได้ เพราะตามข้อตกลงในสนธิสัญญาเจนีวา ไทยไม่จำเป็นต้องรับผู้บาดเจ็บจากฝั่งกัมพูชา ยกเว้นทหารกัมพูชาบาดเจ็บอยู่ในพื้นที่สู้รบฝั่งไทย ที่ไทยต้องดำเนินการรักษาอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่เลือกปฏิบัติ
สุดท้ายฝ่ายไทยยอมถอยให้หนึ่งก้าว โดยจะรับผู้บาดเจ็บ หรือผู้ป่วยจากฝั่งกัมพูชา โดยพิจารณาเป็นกรณีๆ และจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ทรัพยากรของฝ่ายไทยมีเพียงพอเท่านั้น เช่น รพ. , เตียง ,ยา ,อุปกรณ์ทางการแพทย์, และบุคคลากร หลังรับรักษาคนเจ็บ และคนป่วยของไทยแล้ว ต้องมีเหลือพอ จึงจะสามารถรับผู้ป่วยและผู้บาดเจ็บจากฝั่งกัมพูชามารักษาได้ จนเป็นที่มาของข้อตกลงในข้อที่ 6 ที่ดูเผินๆว่า ไทยยอมรับผู้ป่วย และผู้บาดเจ็บจากฝั่งกัมพูชาแล้ว
ทั้งหมดเป็นข้อตกลงที่นำมาสู่การลงนามร่วมกัน เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 และเป็นที่มาให้ทั้งสองฝ่ายยุติปฏิบัติการทางทหาร และวางกำลังอยู่ในพื้นที่ที่แต่ละฝ่ายสถาปนากำลังเอาไว้ หลังเที่ยงคืนวันที่ 28 กรกฏาคม
ภาพความพยายามเจรจาที่ตกลงกันไม่ได้ทั้ง 4 ข้อ มี 1 ข้อ ที่กัมพูชายังคงคาใจ และสมเด็จฮุน เซน ยังโพสต์ผ่านโซเชี่ยลมีเดียส่วนตัวเสมอ คือ ประเด็นการใช้กำลังทางอากาศของฝ่ายไทย
ฮุน เซน พยายามเรียกร้องให้นานาชาติกดดันไทย ให้ยุติปฏิบัติการทางอากาศต่อกัมพูชา หากเกิดการปะทะกันอีกครั้ง โดยเฉพาะสหรัฐและสวีเดน ซึ่งเป็นประเทศผู้ขาย F16 และกริพเพนให้ไทย
‘ฮุน เซน’ รู้ดีว่า ความสูญเสียจำนวนมากของฝ่ายกัมพูชาในเหตุการณ์ปะทะกัน 5 วัน ตั้งแต่เช้าวันที่ 24 กรกฏาคม จนถึงเที่ยงคืนของวันที่ 28 กรกฏาคม 2568 ส่วนใหญ่เกิดจากปฏิบัติการทางอากาศของฝ่ายไทย
เช้าวันที่ 24 กรกฏาคม F 16 ทั้งสองฝูง บินถล่มที่ตั้งกองพลสนับสนุนที่ 8 และกองพลสนับสนุนที่ 9 ของกัมพูชา ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามชายแดนไทย เพียง 10 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ภายใต้กฏการโต้ตอบกรณีที่ถูกรุกรานจากต่างประเทศ และฝ่ายเราบินอยู่ในน่านฟ้าไทย ไม่มีการบินล้ำเขตแดน
ผลการโจมตีทั้งสองระลอก ทำให้ทั้งสองหน่วยหมดสภาพที่จะดำเนินการสนับสนุนการช่วยรบในพื้นที่อย่างสิ้นเชิง
นอกจากนี้ ยังมีกระแสข่าวว่า นายพลคนสำคัญที่สังกัดกองพลสนับสนุนทั้งสองหน่วย รวมทั้ง ‘นายพล สรัย ดึ๊ก‘ รองผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา เสียชีวิตระหว่างการโจมตีอีกด้วย โดยมีภาพงานศพของนายพลทั้งสองนาย ปรากฏในโซเชี่ยลมีเดียของฝ่ายกัมพูชา
แต่ต่อมามีการปฏิเสธว่า ’นายพล สรัยดึ๊ก‘ เพียงแค่บาดเจ็บ และหลบอยู่ในที่มั่นสำคัญ เพื่อป้องกันการจับพิกัดของฝ่ายไทย
ปฏิบัติการทางอากาศอย่างต่อเนื่องตลอด 4 วัน ทั้งกลางวัน และกลางคืนของกองทัพอากาศไทย ที่ทั้งทิ้งระเบิด และยิงถล่มฐานที่มั่นของฝ่ายกัมพูชา รวทั้งโจมตีเส้นทางการส่งกำลังบำรุง ซึ่งทั้งหมดเป็นปฏิบัติการในพื้นที่รอยต่อของเขตแดน และอยู่ในพื้นที่ชายแดนไทย ยังสร้างความเสียหายให้กับกองทัพกัมพูชาจำนวนมาก
คืนวันที่ 28 กรกฏาคม 2568 ก่อนเที่ยงคืน ซึ่งเป็นเวลาเส้นตายของการหยุดยิง กัมพูชาจึงทุ่มสรรพกำลังภาคพื้นดินทั้งหมด ทั้งหน่วย BHQ และหน่วยปฏิบัติการพิเศษหมวกแดง หรือกองพันคอมมานโด 911 เข้าโจมตี 3 พื้นที่ คือ ภูมะเขือ ปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธมอย่างรุนแรง
กำลังทั้งหมดหลายพันนาย ทุ่มกำลังเข้ารบประชิดฝ่ายไทย เพื่อชิงพื้นที่ที่ฝ่ายไทยยึดได้กลับคืน โดยกำลังทหารราบเข้ารบในระยะใกล้ให้มากที่สุด เพื่อหลบเลี่ยงทั้งปืนใหญ่ และกำลังทางอากาศของฝ่ายไทย
กัมพูชาเชื่อว่า มีเพียงกำลังทหารราบ และการรบประชิดตัวเท่านั้น ที่กัมพูชาจะเหนือกว่าทหารไทยในพื้นที่
แนวรบทั้งภูมะเขือ ปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธมในคืนวันที่ 28 กรกฏาคม จึงดุเดือด และดวลกันในระยะใกล้
ปืนใหญ่ของไทย ทำได้เพียงยิงลูกแฟลร์ หรือไฟส่องสว่างขึ้นไปในอากาศ เพื่อให้ทหารราบของไทยมองเห็นข้าศึกที่รุกเข้ามาประชิดเท่านั้น ไม่สามารถยิงปืนใหญ่ลงในพื้นที่สู้รบได้ เพราะเสี่ยงที่จะเกิดความสูญเสียของฝ่ายเดียวกัน
ส่วนกริพเพน ก็ทำได้เพียงถล่มเส้นทางส่งกำลังสนับสนุน และพร้อมถล่มที่หมายของปืนใหญ่และจรวด BM21 ของกัมพูชา หากออกมาจากที่ซ่อน เพื่อยิงถล่มเข้ามาในฝ่ายไทย
กำลังรบของกัมพูชาเกือบทำสำเร็จในหลายจุด หากฝ่ายไทยไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือการทุ่มกำลังของทหารชุด BHQ และชุด 911 ของกัมพูชาเอาไว้ก่อน
ฝ่ายไทยคาดการณ์ไว้ก่อนว่า คืนวันที่ 28 กรกฏาคม กัมพูชาต้องทุ่มกำลังเข้ารบประชิดตัวแน่ จึงได้ใช้กำลังชุดปฏิบัติการพิเศษของกองพลรบพิเศษทั้ง 3 กรม และชุดเคลื่อนที่เร็วหรือ RDF ของทุกกองทัพ ประกอบกำลังร่วม โดยมี RDF ของ ร.31 เป็นหน่วยกำลังหลัก เข้าประจำการร่วมกับกำลังพลของกองทัพภาคที่ 2 ในทุกฐานปฏิบัติการ พร้อมอาวุธพิเศษครบมือ ทั้งแว่นมองกลางคืน และอาวุธประจำกายทุกรูปแบบ
การรบภาคพื้นดินในคืนวันที่ 28 กรกฏาคม จึงเป็นการปะทะที่ดุเดือดที่สุด ของทั้ง 4 วันที่ผ่านมา ก่อนที่เที่ยงคืนของวันที่ 28 กรกฏาคม ต่างฝ่ายจึงค่อยๆยุติการปฏิบัติการ และจบแบบสิ้นเชิงในช่วงเช้าวันที่ 29 กรกฏาคม
คืนนั้น…แม้กำลังทหารราบของไทยจะยันการบุกของกัมพูชาและผลักดันให้ถอยร่นออกไปได้สำเร็จ แต่ก็ต้องยอมถอนกำลังออกจากบางจุดที่หมิ่นเหม่ต่อการสูญเสีย และถูกโจมตีด้วยปืนใหญ่ของฝ่ายกัมพูชา
โดยเฉพาะบริเวณตัวปราสาทตาควาย ที่กำลังพลไม่สามารถเจาะเข้าไปถึงตัวปราสาท เพราะประสบกับทุ่นระเบิดบุคคลที่กัมพูชาฝังไว้จำนวนมาก
รวมทั้งบริเวณเนิน 350 ที่ต้องถอนกำลังลงมา แม้จะขึ้นไปยึดได้แล้ว แต่ไม่สามารถสถาปนากำลังไว้บนนั้นได้ เนื่องจากเป็นจุดเปราะบาง และโดดเดี่ยวจากการส่งกำลังสนับสนุน กรณีที่ถูกโจมตีในภายหลัง
นอกจากนี้ยังตรวจพบอุโมงค์จำนวนหนึ่ง ที่ทหารกัมพูชาลอบขุดเจาะไว้ เพื่อหลบแรงระเบิดจากการโจมตีทางอากาศ ในพื้นที่รอบเนิน 350 ที่อาจเป็นเส้นทางที่กัมพูชาสามารถลำเลียงกำลังเข้ามาปิดล้อมฝ่ายไทยที่อยู่บนเนินแห่งนี้ได้
การรบในคืนวันที่ 28 กรกฏาคม จึงเป็นการตอกย้ำความพ่ายแพ้ให้กับกองทัพกัมพูชาอีกครั้ง ทั้งที่เป็นการปะทะกันของกำลังรบภาคพื้นดิน เป็นการปะทะกันระหว่าง หมวกแดงไทย กับ หมวกแดงกัมพูชา RDF กับ BHQ ฝ่ายกัมพูชา ต้องถอยร่นกลับแนวที่ตั้งของตัวเอง และทิ้งศพกำลังพลจำนวนมากไว้ในพื้นที่สู้รบ
การปะทะกันอย่างดุเดือดตลอดทั้ง 5 วัน พิสูจน์กันอีกครั้งว่า แม้กัมพูชาจะเตรียมความพร้อมมาถึง 14 ปี แต่ท้ายที่สุด แม้จะดวลกันทุกประเภทการรบ ทหารไทยก็ยังเหนือกว่าทหารกัมพูชาอยู่ดี
กัมพูชาสะสมความคับแค้น หลังความพ่ายแพ้ในการปะทะกันเมื่อปี 2553 ต่อเนื่อง 2554 ที่ ’ฮุน มาเนต’ เกือบเสียชีวิต และสูญเสียกองพลชั้นดีไปหนึ่งกองพล กัมพูชาจึงใช้เวลากว่า 10 ปี เพื่อรอวันเอาคืน
กว่า 10 ปีที่ ฮุน มาเนต และกองทัพกัมพูชา จัดเตรียมความพร้อม ทั้งด้านกำลัง การจัดเตรียมอาวุธ วางแผนปรับพื้นที่ ตัดถนน สร้างคูเลท ที่เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก รวมทั้งพัฒนากำลังพิเศษ ทั้ง BHQ และคอมมานโดหมวกแดง 911 ที่มีทั้งชุดอาวุธพิเศษ ระบบโดรนโจมตี และระบบแอนตี้โดรน ปืนแอนตี้โดรน กองพันสไนเปอร์ที่มีปืนซุ่มยิงระยะไกลครบมือ
ทั้งหมดล้วนแต่เป็นการแก้เกมกองทัพไทยทั้งสิ้น…
กัมพูชาเฝ้ามองการพัฒนาอาวุธของไทย และการพัฒนากองกำลังของไทยมาตลอด จนพบว่า ไทยเริ่มมีอาการสะดุดจากการจัดซื้ออาวุธ และการจำกัดงบประมาณทางการทหาร ความไม่มีเถียรภาพทางการเมือง โดยเฉพาะท่าทีของพรรคฝ่ายค้านรุ่นใหม่อย่างพรรคประชาชน ที่ยืนหยัดคัดค้านการขยายกำลังรบ การจัดซื้ออาวุธของกองทัพไทยมาตลอด ขณะที่กัมพูชาได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจอย่างจีน และรัสเซียอย่างเต็มที่
กัมพูชามั่นใจว่า เครื่องยิงจรวดแบบหลายลำกล้อง BM 21 รุ่นใหม่ที่สามารถยิงได้ไกลมากขึ้น จะเป็นอาวุธสำคัญที่ทำให้กองทัพไทยพะวักพะวน ห่วงหน้าพะวงหลัง จากเป้าหมายทางพลเรือนที่กัมพูชายิงเข้าใส่
กัมพูชามั่นใจว่า ทันทีที่ทหารไทยต้องนำกำลังบางส่วนไปปกป้องพื้นที่ส่วนหลัง จะเป็นโอกาสให้ฝ่ายกัมพูชาเจาะทะลุ ทะลวง เข้าสู่แนวรบสำคัญ 3 จุด คือ ตาเมือนธม ตาควาย และภูมะเขือได้สำเร็จ
แต่ทันทีที่ F16 ฝูงแรก และฝูงที่สอง บินขึ้นจากฐานทัพอากาศตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ และถล่มระเบิดระลอกแรกลงในพื้นที่กองพลสนับสนุนที่ 8 และ 9 กัมพูชาถึงรู้ว่า ฝันที่จะเอาชนะฝ่ายไทย เริ่มเลือนรางไปแล้ว
กัมพูชายืนยันว่า พวกเขาจะไม่มีวันสูญเสียจำนวนมากขนาดนี้ หากไทยไม่ใช้เครื่องบินรบ เพราะความสูญเสียของกัมพูชาในพื้นที่สู้รบ ที่คาดว่า สูงกว่า 3,000 คน ส่วนใหญ่เสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศ และปืนใหญ่ของฝ่ายไทย แต่หากรบกันด้วยกำลังทหารราบล้วนๆ กัมพูชาเชื่อว่า การรบครั้งนี้ กัมพูชามีโอกาสเอาชนะทหารไทยได้
ปัจจัยทั้งหมดจึงไม่แปลกที่ ฮุน เซน เรียกร้องให้นานาชาติกดดันไทย ไม่ให้ใช้ปฏิบัติการทางอากาศกับกัมพูชาอีก
ส่วนเหตุและผลของการตัดสินใจ เปิดยุทธการ Air Operation มาจากสาเหตุใด และไทยเตรียมการเรื่องนี้ไว้อย่างไร EP.หน้า มาว่ากันอย่างละเอียด