การกลับมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อีกครั้งในวันนี้ของ ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ แม้จะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่ก็น่าจะเหมาะสมที่สุดเท่าที่มีอยู่ของชาวพรรคสีฟ้าในเวลานี้
อย่างน้อยเมื่อเทียบกับผู้บริหารพรรคชุดเดิม กรรมการบริหารชุดใหม่ที่นำโดย ‘มาร์ค-อภิสิทธิ์’ ย่อมมีความไฉไล ถูกโฉลกกับบุคลิกของพรรคการเมืองเก่าแก่ ที่เดินบนเส้นทางสายอุดมการณ์มาตลอด 80 ปี ได้มากกว่า
ขณะที่คำประกาศเปิดใจและวิสัยทัศน์ในการกลับมาครั้งนี้ของอภิสิทธิ์ นับได้ว่าเฉียบคมกว่าเดิม เก็บได้ทุกเม็ดทุกดอกของปัญหาประเทศไทยที่อยู่ในภาวะ "เศรษฐกิจติดหล่ม สังคมเหลื่อมล้ำ ความยุติธรรมหดหาย"
ทั้งหมดเกิดจากปัญหาการเมือง ที่ฉุดรั้งไม่ให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้
ในอดีตเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ‘อภิสิทธิ์’ ก้าวขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี คนที่ 27 ของไทย ในวัย 44 ปี ซึ่งถือว่าอายุน้อยที่สุดในเวลานั้น แต่ด้วยประสบการณ์กับปัญหาใหญ่หลวงของประเทศ ณ เวลานั้น แม้จะอยู่ในตำแหน่งนานถึง 2 ปีเศษ ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก เพราะบ้านเมืองติดหล่มความขัดแย้งของสงครามสีเสื้อ "เหลือง-แดง"
เวลาผ่านไป 17 ปี ในวัยย่างเข้าสู่ 62 ปี ‘อภิสิทธิ์’ ได้ผ่านสิ่งที่เรียกว่าตอนมีอำนาจก็คิดไม่ได้ แต่พอคิดได้ก็ไม่มีอำนาจที่จะทำมาแล้ว เมื่อมีโอกาสกลับเข้าสู่การเมืองอีก จึงได้ฉายภาพสารพัดปัญหาของบ้านเมืองผ่านวิสัยทัศน์แรกไว้ครอบคลุมในทุกมิติ
ส่วนจะทำได้จริงอย่างที่พูดหรือเป็นการกลับมาอีกครั้งของคำว่า "ดีแต่พูด" คงต้องรอการพิสูจน์ต่อจากนี้
แต่อย่างน้อยคงเข้ามาหยุดความตกต่ำของประชาธิปัตย์ ไม่ให้ถอยร่นไปมากกว่านี้อีกได้ โดยเฉพาะสนามเมืองหลวง กทม.ที่สูญพันธุ์ต่อเนื่องกันสองสมัย ตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปปี 2562 และปี 2566 คงกลับมาปักธงพรรคได้อีกครั้ง ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ
ประการแรก พรรคประชาชน ที่ครองเก้าอี้สส.กทม.จำนวน 32 ที่นั่ง จากทั้งหมด 33 ที่นั่ง ในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะไม่สามารถสร้างปรากฏการณ์แลนด์สไลด์ได้อีก จากกระแสของพรรคส้มที่เริ่มอ่อนแรง ปัจจุบันกำลังซุ่มจัดทัพใหม่ เตรียมเปลี่ยนตัวผู้สมัครในสนาม กทม.ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 40
ปรากฏการณ์แลนด์สไลด์สนาม กทม.ของพรรคส้มในปี 2566 จึงไม่ต่างจากพรรคประชากรไทย หรือพรรคพลังธรรมในอดีต ที่มาจากกระแสวูบวาบในห้วงเวลานั้น
ประการที่สอง ไม่มีพรรคการเมืองใดเป็นตัวแทนของฝ่ายอนุรักษ์ หรือเป็นตัวเลือกให้กับคนชั้นกลางในเมืองหลวงได้ แม้บางพรรคจะพยามยามขายความเป็นตัวแทนฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็ตาม แต่โชว์ได้เฉพาะสีสัญลักษณ์ที่ไม่มีวิญญาณ
จึงเป็นโอกาสของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะกลับมาทวงคืนเก้าอี้ สส.กทม.ได้บ้าง อย่างน้อย 7-10 เขต คงแชร์กับพรรคการเมืองอื่นๆ ได้ในสถานการณ์ที่คนลงคะแนนมากถึงร้อยละ 23 ยังตัดสินใจไม่ได้จะเลือกพรรคการเมืองไหน
นอกจากนั้น คะแนนบัญชีรายชื่อที่หล่นมาอยู่ที่ 9 แสนคะแนน น่าจะเป็นคะแนนต้นทุนที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของประชาธิปัตย์ล้วนๆ ซึ่งคงไม่ต่ำไปกว่านี้อีกแล้ว ดังนั้น เมื่อเทียบกับฐานคะแนนเดิมของพรรคก่อนหน้านี้ ไล่ไปเฉพาะในช่วงการเลือกตั้งปี 2562 ที่อภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรค ประกาศไม่เอา ‘ลุงตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี
ผลการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 24 มีนาคม 2562 พรรคประชาธิปัตย์ ได้ สส.จำนวน 52 ที่นั่ง แยกเป็น สส.เขต 33 คน บัญชีรายชื่อ 21 คน จากคะแนนรวมทั่วประเทศราว 3 ล้านกว่าคะแนน ซึ่งเป็นการเลือกตั้งแบบใช้บัตรใบเดียว แต่นำคะแนนมาคำนวณหา "สส.ที่พึงได้" ร่วมกัน
ไม่มีการแยกคะแนนคน คะแนนพรรค เหมือนการเลือกตั้งในปี 2566 ที่กลับมาใช้บัตรสองใบเหมือนเดิม
เอาเป็นว่า ฐานเสียงเดิมที่อภิสิทธิ์ทำไว้ที่ 3 ล้านกว่าเสียง แต่พอมาในยุค จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ การเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 พรรคประชาธิปัตย์ ได้ สส.ลดลงเหลือ 25 ที่นั่ง แยกเป็น สส.เขต 22 บัญชีรายชื่อ 3
การกลับมาเที่ยวนี้ของอภิสิทธิ์ ในวันที่ไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในสนามแข่งขัน และการเมืองเปลี่ยนขั้ว ย้ายข้าง ไม่มี 2 ลุง หรือ 3 ป.อยู่ในสมการอีกต่อไป
การประกาศทำการเมืองสุจริต ไม่ใช่การเมืองแบบ "แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ดีลลับ สับปลับวันเว้นวัน" อย่างที่แสดงวิสัยทัศน์ไว้
หลังจมปรักอยู่กับวังวนของศึกในมานานนับสิบปี ห้วงเวลาต่อจากนี้ จึงน่าจะเป็นช่วงเวลาฟ้าหลังฝนของชาวพรรคพระแม่ธรณีบีบมวยผม ที่จะกลับมาทวงคืนเก้าอี้ สส.กทม.และคะแนนบัญชีรายชื่อกลับมาได้อีกครั้ง


