Deep SPACE ปมคลิปเสียงสนทนา แพทองธาร ชินวัตร - ฮุน เซน เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด เมื่อศาลรัฐธรรมนูญ นัดฟังคำวินิจฉัยในวันศุกร์ที่ 29 สิงหาคมนี้ ต้องลุ้นระทึกนัดแรกวันที่ 21 สิงหาคมว่าแพทองธาร ชินวัตร จะไปให้ศาลซักถามตามนัดหรือไม่ ติดตามใน Deep SPACE..ลึกกว่าที่รู้
ปมคลิปเสียงสนทนา แพทองธาร ชินวัตร - ฮุน เซน เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เมื่อศาลรัฐธรรมนูญ นัดฟังคำวินิจฉัยในวันศุกร์ที่ 29 สิงหาคมนี้ ซึ่งนับจากนี้ไปเหลือเวลาอีกเพียง 15 วันเท่านั้น
การนัดตัดสินในวันดังกล่าว นับว่าระทึกอยู่ไม่น้อย เพราะหากย้อนดูสถิติคดีใหญ่ๆ ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญมักจะนัดฟังคำวินิจฉัยในวันศุกร์หลายคดีด้วยกัน
ในอดีตไม่ว่าจะเกิดจากเหตุผลใดก็ตาม แต่สำหรับหนนี้ดูจากตารางเวลานัดของศาลรัฐธรรมนูญ ก็มีเหตุผลอธิบายอยู่ในตัว โดยนับจากวันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม เวลา 10.30 น. นัดไต่สวนพยานบุคคล จำนวน 2 ปาก คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ผู้ถูกร้อง และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)
‘พยานบุคคลที่ศาลรัฐธรรมนูญเรียกหากไม่มาตามกำหนดนัดถือว่าไม่ติดใจเป็นพยานบุคคล’ ในเอกสารกำชับไว้
นอกจากนั้น ศาลยังให้ผู้ร้องหรือผู้ถูกร้องที่ประสงค์จะแถลงการณ์ปิดคดีให้ยื่นเป็นหนังสือต่อศาลภายในวันพุธที่ 27 สิงหาคม 2568 หากไม่ยื่นภายในกำหนดถือว่า‘ไม่ติดใจยื่น’
ลำดับตามวันข้างต้น ทำให้เห็นถึงการสิ้นสุดเวลานัดของศาล ที่เปิดให้คู่กรณียื่นคำแถลงปิดคดีถึงวันพุธที่ 27 สิงหาคม ดังนั้นการนัดหมายฟังคำวินิจฉัยคดีในวันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม จึงลงล๊อกในวันนั้นเข้าพอดี
แต่ที่น่าสนใจและต้องขีดเส้นใต้หนาๆ พร้อมใส่ดอกจันหัวท้ายเอาไว้ให้เห็นกันชัดๆ คือ การนัดไต่สวนพยานบุคคล จำนวน 2 ปาก ซึ่งศาลเรียกมาและหากไม่มาตามกำหนดนัดถือว่าไม่ติดใจ
ความจริงแพทองธาร ผู้ถูกร้อง ขออนุญาตศาลไต่สวนพยานบุคคลไปถึง 5 ปากด้วยซ้ำ ซึ่งแต่ละคนล้วนทำงานและเคยเกี่ยวข้องกับงานด้านความมั่นคง ด้านการต่างประเทศ ผู้ชำนาญด้านกฎหมายทหาร บางคนเชี่ยวชาญด้านกัมพูชา
แน่นอนว่า ปมคลิปเสียง ‘อิ๊งค์-ฮุนเซน’ ที่ 36 สว. ยื่นร้องศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) เพราะขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงนั้น
มีเนื้อหาเกี่ยวโยงกับเรื่องความมั่นคงของชาติ
โดยเฉพาะบทสนทนาในคลิปเสียงที่แพทองธาร ยอมรับเป็นเสียงการสนทนาของตัวเองกับฮุนเซนจริง ซึ่งมีความยาว 10 กว่านาทีนั้น มีหลายประโยคที่คนไทยฟังแล้วสะดุดหูอย่างมาก อาทิ
‘ไม่อยากให้ Uncle ไปฟังคนที่เป็นฝั่งตรงข้ามกับเรา เพราะว่าพอไปฟังฝั่งตรงข้ามอย่างพวกแม่ทัพภาค 2 อย่างเนี้ยค่ะ เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลย ซึ่งพอไปฟังอย่างนั้นเสร็จ ก็ไม่อยากให้ท่านรู้สึกไม่ชอบใจ หรือโกรธ’
‘ทางนั้นเขาอยากจะดูเท่ เขาก็จะพูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติค่ะ’
‘ให้ท่านฮุนเซนเห็นใจหลานหน่อย เพราะว่าตอนนี้คนในประเทศไทยเขาไล่เราไปเป็นนายกฯ ที่เขมรหมดแล้ว (หัวเราะ) จริงๆ แล้วถ้าท่านอยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้’
คำพูดทั้งหมดถูกเจ้าตัวอธิบายในเวลาต่อมาว่า เป็นเจตนาดีที่ต้องการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี และเป็นการพูดคุยส่วนตัวที่ไม่ได้ทำให้บ้านเมืองเสียหายแต่ประการใด
แต่ 36 สว.มองเป็นการกระทำที่สร้างความ ‘เสียหายร้ายแรง’ ต่อบ้านเมือง ที่คนเป็นนายกรัฐมนตรีไม่พึงกระทำ โดยเฉพาะการประกาศตัวอยู่ฝั่งเดียวกับกัมพูชา และกล่าวหาแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงกันข้าม
กรณีที่เกิดขึ้นในส่วนของข้อเท็จจริงเป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้ว เพราะได้ยินได้ฟังกันไปทั่ว เหลือแต่พฤติกรรมและเจตนา ที่จะนำไปอธิบายในข้อกฎหมายว่าเข้าข่ายหรือไม่เข้าข่ายความผิดตามที่มีผู้ยื่นร้องไว้
ด้วยเหตุนี้กระมัง จึงต้องขอไต่สวนพยานข้างต้น ‘โดยเฉพาะตัวแทนจากฝ่ายความมั่นคง’ เพื่อมาให้นิยามหรือตอบคำถามเรื่องขอบเขตขัณฑสีมาของความมั่นคงว่า กินความลึก กว้างหรือแคบเพียงใด
ถ้าจะให้เดาทำไมศาลให้เฉพาะเลขาธิการ สมช.มาเป็นพยานบุคคลในคดีนี้ ก็คงเดาได้ประมาณนี้ ส่วนจะเป็นตัวแทนให้คำตอบเรื่อง ‘ความมั่นคงของชาติ’ ได้ไม่ได้ ก็อยู่ที่ศาลท่าน
แต่ที่ต้องวัดใจก่อนเป็นลำดับแรกคือ แพทองธาร ที่ไม่ได้อยู่ในบัญชีพยานจะ ‘ยอมไปปรากฏตัว’ ให้ศาลซักตามนัดหรือไม่ เช่นเดียวกับ ‘ฉัตรชัย บางชวด’ เลขาธิการสมช.พยานบุคคลปากเดียวในบัญชีที่ศาลอนุญาตจะไปให้ปากคำหรือไม่