วันก่อน อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ส่งสัญญาณยุบสภาก่อนเส้นตาย 31 มกราคม 2569 ด้วยน้ำเสียงขุ่น ๆ ใส่นักข่าว ที่ถามเรื่องยุบสภาหนีก่อนครบกำหนดว่า
"ถ้าผมอยากจะหนี ผมก็หนี ถ้าผมอยากจะอยู่ ผมก็อยู่ เพราะผมรู้ว่าวันสุดท้ายของผมถึงวันไหน แต่ถ้าเกิดดูแล้วมันไม่ไหว มันมีอำนาจของความเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่"
ก่อนหน้านั้น ในช่วงเช้าวันเดียวกัน นายกฯ อนุทิน ได้พูดเป็นปริศนาเอาไว้ก่อนแล้วว่า "อะไรก็เกิดขึ้นได้" และมีหลาย ๆ เรื่องที่เป็นปัจจัยนำไปสู่การยุบสภาก่อนกำหนด
ที่ว่าหลายเรื่องนั้น ไปถอดรหัสการเมืองดูแล้ว น่าจะมีทั้งเรื่องปกติและไม่ปกติ
อย่างแรกเลย คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งนาทีนี้เสมือนปล่อยให้ไปอยู่ในมือของพรรคประชาชนแล้ว เพราะเป็นทั้งเจ้าของร่างหลักและเป็นประธานกรรมาธิการวิสามัญ รวมทั้ง ยึดตำแหน่งเลขานุการกรรมาธิการเอาไว้ด้วย จะดึงให้ช้าหรือติดเทอร์โบไปแบบไว ๆ อย่างไรก็ได้
นอกจากนั้น ยังไปผนึกกับพันธมิตร "ส้ม+แดง" 9+9 เสียง บวกตัวแทนพรรคประชาชาติอีก 1 เสียง และไปแตะมือกับตัวแทนสว.อีก 1-2 คน เท่านี้ก็เป็นเสียงข้างมากในกรรมาธิการ สามารถเสกเป่าตามใจต้องการได้ทุกอย่าง
แต่ด่านตัดสินจริง ๆ จะอยู่ที่การลงมติในวาระ 3 จะจอดหรือแจวอยู่ที่ตรงนี้?!
เพราะฉะนั้น ในระหว่างนี้ต้องดูการพิจารณา วาระ 2 ของคณะกรรมาธิการฯ ว่าพรรคภูมิใจไทยและพันธมิตร มีการออกแรงแข็งขันขนาดไหน หรือปล่อยไหลไปตามน้ำ อยากจะแก้จะปรับตรงไหน ก็เชิญปูยี่ปูยำกันตามสะดวก
ถ้าเป็นแบบที่ว่า รับรองไปตกม้าตายที่วาระ 3 ได้เสียงสว.ไม่ถึงเกณฑ์ 1 ใน 3 แน่ ๆ
นัดนิ้ว นับเวลาดูแล้ว คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ซึ่งเร่งเครื่องประชุมสัปดาห์ละ 3 ครั้ง แถมจะขอให้เปิดสภาสมัยวิสามัญพิจารณาวาระ 2 กันในเดือนพฤศจิกายนด้วย จากนั้น ทิ้งไว้ 15 วัน เพื่อให้ทันลงมติวาระ 3 เมื่อเปิดสมัยประชุมมาในช่วงกลางเดือนธันวาคม
หากลงมติวาระ 3 ก่อนวันที่ 20 ธันวาคม ไม่ว่าผลจะออกมาผ่านหรือไม่ผ่านก็ตาม ย่อมเป็นเหตุนำไปสู่การยุบสภาก่อนกำหนดได้ ไม่ต้องอยู่รอให้พรรคเพื่อไทย ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจให้เปลืองตัวเล่น
แต่วงในฟันธงกันไปแล้วถูกคว่ำในวาระ 3 ชัวร์
นี่คือการยุบสภาก่อนกำหนด ที่ไปแบบนิ่ม ๆ ปิดจบภารกิจใน MOA กับพรรคส้มลงอย่างสมบูรณ์
ถัดไปเป็นเรื่องของเหตุไม่ปกติ คือ การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคเพื่อไทย ซึ่งจะไม่เกิดขึ้นในสมัยประชุมนี้เนื่องจากเวลาไม่ทัน ต้องไปว่ากันในสมัยหน้า 12 ธันวาคมเป็นต้นไป แต่ก็ต้องหันซ้ายหันขวาให้ดี เพราะหากยื่นก่อนที่สภาจะลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3 และเป็นเหตุให้นายกฯ ชิงยุบสภาหนีก่อน
พรรคเพื่อไทย ก็จะตกเป็นจำเลยซ้ำอีก ฐานทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญค้างเติ่งคาสภา
อีกไม่ปกติของเหตุที่จะทำให้ชิงยุบสภาหนีก่อน คือ การเข้าชื่อยื่นศาลรัฐธรรมนูญเอาผิดนายกฯ อนุทิน ซ้ำรอย "เศรษฐา-แพทองธาร" ประเด็นความผิดมาตรา 160 (4) ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ (5) การฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง
ไม่รู้พรรคเพื่อไทย จะเล่นเกมนี้หรือเปล่า?
หรือจะเอาเรื่องฮั้วสว. ที่ดินเขากระโดง ไปจนถึงรัฐมนตรีสีเทา ถูกกล่าวหาพัวพันแกงค์สแกมเมอร์ ไปยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจแทน เพราะเรื่องยังอยู่ในขั้นกล่าวหา และบางรายศาลรัฐธรรมนูญได้ชี้ไปแล้ว ซึ่งคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ผูกพันทุกองค์กร ก็ย่อมผูกพันศาลรัฐธรรมนูญด้วยเช่นกัน
เพียงแต่ประเด็นหลัง หากพรรคเพื่อไทยมั่นใจ ก็ต้องใช้ช่องทางนี้เล่นงานนายกฯ อนุทิน เพราะทุกคำร้องที่ยื่นไปศาลรัฐธรรมนูญ มักจะมีคำขอแนบท้าย "ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่" ไว้ก่อนด้วย ซึ่งไม่ว่าศาลจะรับเรื่องไว้พิจารณาหรือไม่
นายกฯ อนุทิน ย่อมมีความเสี่ยงสูงถ้าจะเล่นบนเกมนี้
สรุปเมื่อรู้ว่าวันสุดท้ายของตัวเองมาถึง อำนาจ "ยุบสภา" ที่เป็นดาบในมือของคนเป็นนายกรัฐมนตรี ก็คงถูกนำมาใช้ในวันนั้น แต่ต้องวัดใจเพื่อไทย ที่ยังสาละวนกับการยกเครื่องพรรค เดินเกมเร็วรับการยุบสภาก่อนสิ้นปี จะมีเวลาเหลือพอมาสนใจเรื่องเหล่านี้หรือเปล่า


