DeepSPACE ประชามติ เลิก‘MOU’เสี่ยงเข้าทางเขมร

2 ต.ค. 2568 - 03:47

  • การยกเลิก MOU 43-44 ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นวาระร้อนอีกครั้ง

  • ถูกบรรจุไว้เป็นคำถามในการทำประชามติ

  • หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกต ต้องให้ข้อมูลประชาชนมากพอ และระวังเข้าทางกัมพูชา

DeepSPACE   ประชามติ เลิก‘MOU’เสี่ยงเข้าทางเขมร

Deep SPACE การยกเลิก MOU 43-44 เป็นหนึ่งในคำถามการทำประชามติที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่หลายฝ่ายก็ตั้งข้อสังเกตว่า การยกเลิกควรทำบนหลักการ เหตุผล องค์ประกอบต่าง ๆ ไม่ใช่ตัดสินบนอารมณ์ว่าเอาไม่เอา จึงต้องมีการให้ข้อมูลประชาชนที่มากพอ แต่ที่เป็นห่วงมากกว่านั้นคืออาจจะเข้าทางกัมพูชา ที่รอปั่นเรื่องนี้ต่อ ติดตามใน Deep SPACE..ลึกกว่าที่รู้

โบราณว่า จิ้งจกทักยังต้องฟัง แต่นี่มีทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายค้ำ ออกมาส่งเสียงเตือนรัฐบาลพร้อมๆ กัน ให้ระวังเรื่องการทำประชามติสอบถามประชาชนเรื่องการยกเลิก MOU 43-44 หรือไม่

อันสืบเนื่องจากนโยบายด้านความมั่นคง ในข้อ 6 ที่แถลงต่อรัฐสภาไปวันก่อน ความว่า

‘เร่งแก้ไขปัญหากรณีพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชาด้วยแนวทางสันติภาพ  เพื่อนำความมั่นคงปลอดภัยให้แก่พี่น้องประชาชนตามบริเวณชายแดนโดยเร็วและรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยและเขตแดนที่เป็นของไทยโดยชอบธรรมตามเส้นเขตแดนที่เป็นสากล

รวมถึงดำเนินการยุติความขัดแย้งผ่านกลไกการเจรจาทางการทูตที่เหมาะสมควบคู่กับการป้องกันประเทศที่เข้มแข็ง ตลอดจนทำประชามติเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจให้ความเห็นต่อการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา..’ 

ก่อนหน้านี้ มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและเห็นต่าง เรื่องการให้คง MOU 43-44 เอาไว้ต่อไปหรือยกเลิก  ในเมื่อรัฐบาลซึ่งอยู่ตรงกลางและต้องรับฟังความเห็นทั้งสองด้าน จึงมีความชอบธรรมที่จะทางออกด้วยการทำประชามติ

ให้ประชาชนเป็นผู้ชี้ขาดว่าสมควรจะยกเลิกหรือไม่?

แต่มาถึงจุดนี้ กลับมีเสียงเตือนออกมาหนาหูว่า นี่เป็นเรื่องของความมั่นคง เป็นเรื่องของประเทศชาติ ที่กำลังเกิดข้อพิพาทกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีทั้งรายละเอียดและความซับซ้อน

ไม่ใช่ตัดสินกันที่ ‘เอาไม่เอา’ บนอารมณ์ความสะใจของใครเท่านั้น

ที่สำคัญเรื่องนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ สภาผู้แทนราษฎร มี ไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย เป็นประธาน ซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดนี้ด้วย

ธนาธร โลห์สุนทร สส.ลำปาง พรรคเพื่อไทย เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษา MOU43-44 ให้ความเห็นเรื่องการทำประชามติเอาไว้ว่า ประเด็นดังกล่าวมีความ‘อ่อนไหว’ และมีรายละเอียดทางเทคนิคมาก เป็นเรื่องเชิงเทคนิคกฎหมาย และภูมิรัฐศาสตร์ หากไม่ได้รับข้อมูลที่เพียงพอประชาชนทั่วไปอาจตัดสินจากอารมณ์ หรือข้อมูลไม่ครบ ทำให้ผลประชามติไม่สะท้อนผลประโยชน์ระยะยาวของประเทศ

ทั้งนี้ เหตุผลที่ไม่ควรทำประชามติยกเลิก MOU43-44 ไม่ใช่เรื่องที่ประชามติจะตอบได้ เพราะประชามติเป็นเพียงการถามใช่หรือไม่ใช่

แต่ประเด็นชายแดนและ MOU ละเอียดอ่อน ซับซ้อน ต้องอาศัยกฎหมายระหว่างประเทศและการเจรจา และ MOU เป็นพันธกรณีระหว่างประเทศข้อตกลงระหว่างรัฐ การยกเลิกฝ่ายเดียว อาจทำให้ไทยถูกมองว่าไม่รักษาสัญญา กระทบความน่าเชื่อถือในเวทีโลก

‘การยกเลิก MOU43-44 ยังเสี่ยงกระทบความมั่นคง เพราะการยกเลิกอาจสร้างความตึงเครียดชายแดน เพิ่มโอกาสเกิดความขัดแย้งทางทหารหรือเศรษฐกิจ ซึ่งเท่าที่ได้คุยกับชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน และเจ้าหน้าที่ทหาร และกระทรวงการต่างประเทศ ก็ล้วนไม่อยากให้ยกเลิก’

ธนาธรเสนอว่า ควรใช้การเจรจาและปรับปรุง MOU ร่วมกัน มากกว่าการยกเลิกโดยตรง เพื่อรักษาผลประโยชน์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หากรัฐบาลอยากยกเลิก หรือหากนายกฯ ระบุเจรจากันไม่จบก็ยกเลิกไปเลยนั้น ก็สามารถทำได้ทันที โดยผ่านมติคณะรัฐมนตรีได้ทันที โดยไม่ต้องผลักภาระไปให้กับประชาชนตัดสินใจ

‘แต่ก็ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า เมื่อไม่มี MOU43-44 แล้ว ข้อพิพาทตามแนวชายแดนจะหายไปหรือไม่ และไทยจะใช้กลไกใดเจรจา และหากต้องมีการทำกรอบเจรจากันใหม่ หรือ MOU ฉบับใหม่ ไทยจะทำข้อตกลงใหม่ได้ดีกว่าฉบับที่ยกเลิกไปหรือไม่’

รังสิมันต์ โรม สส. พรรคประชาชน ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ตั้งคำถามกับรัฐบาลเช่นกันว่า ถ้าจะทำประชามติ‘ต้องให้ประชาชนมีข้อมูลเพียงพอ’

‘เราต้องยอมรับกันก่อนว่า MOU เป็นข้อมูลที่อ่อนไหว ไม่เช่นนั้นสภาจะมีการประชุมลับไปทำไม’

รังสิมันต์ ตั้งคำถามกับรัฐบาลว่า จะดำเนินการอย่างไรให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลเรื่องนี้ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจ โดยที่ฝ่ายกัมพูชาไม่รู้ แต่ถ้าไม่มีวิธีแล้วฝ่ายกัมพูชารู้จะส่งผลเสียต่อผลประโยชน์ของชาติหรือไม่ ดังนั้น การจะตัดสินใจไปทำประชามติ ต้องคิดให้รอบคอบ

สุดท้าย รังสิมันต์ ตั้งเป็นข้อสังเกตว่า หากมีการยกเลิก MOU ไปแล้วกัมพูชาอ้างว่าไม่มีกลไกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย กัมพูชา หรือ JBC ฝ่ายกัมพูชาอาจใช้เหตุนี้อ้างไปยังศาลโลกได้ ดังนั้น หากไม่มี MOUจะต้อง ‘มีสิ่งใดมาทดแทน’ หรือไม่

ไม่เพียงสองสส.ฝ่ายค้านเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายคนที่เห็นเหมือนกัน โดยเฉพาะเนื้อหาในกฎหมายประชามติ ที่กำหนดไว้ ‘ต้องให้ความรู้ประชาชนต่อคำถามนั้นอย่างรอบด้าน’ ก่อนที่จะออกเสียงประชามติในเรื่องใด

ดังนั้น การจะทำประชามติในเรื่องที่เป็นความมั่นคงของชาติ เรื่องผลประโยชน์ของประเทศที่มีความซับซ้อน ที่คนไทยรู้ คนเขมรก็ต้องรู้ ที่สำคัญในท่ามกลางข้อพิพาทไทย-กัมพูชา หากไม่มีข้อมูลเพียงพอ การตัดสินใจอาจยืนอยู่บนความสะใจ ทำให้ผลออกมาสุ่มเสี่ยงไปเข้าทางเขมรโดยไม่รู้ตัว

วันนี้ที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) นัดแรก ที่มีนายกรัฐมนตรีนั่งหัวโต๊ะ คงหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาหารือว่า MOU ไทย-กัมพูชา ที่ผ่านมา 25 ปีนั้น เป็นแค่กระดาษเปื้อนหมึกที่จะยังคงไว้ต่อไปอีกหรือไม่.

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์