พลันที่สภาผู้แทนราษฎร มีมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข หรือกฎหมายนิรโทษกรรม จำนวน 3 ร่าง เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา ก็นับเป็นประวัติศาสตร์ของการนิรโทษกรรมกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมือง ที่มาไกลสุดๆ
วันนี้ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับดังกล่าว เดินทางไกลมาถึงอีกจุด เมื่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว และประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้เรียกประชุมนัดพิเศษ พิจารณาวาระ 2-3 กันในวันอังคารที่ 21 ตุลาคม 2568
ร่างพ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุขฉบับนี้ ผ่านการตกผลึกในชั้นกรรมาธิการมาแล้ว หัวใจสำคัญคือ การนิรโทษกรรมกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 - ปี 2568 ในวันที่สภารับร่างฯ โดยครอบคลุมทั้งความผิดทางอาญาและแพ่ง
ยกเว้นไม่นิรโทษกรรมความผิดอาญาร้ายแรง การทุจริตคอร์รัปชั่น และความมผิด มาตรา 112 แต่ในความผิดหลังหากผู้กระทำความผิดเป็นเยาวชน ให้ใช้สิทธิยื่นร้องต่อคณะกรรมการ เพื่อใช้ช่องทางกฎหมายเยาวชนดำเนินการได้
นั่นคือ ส่งเรื่องให้ศาลพิจารณาดำเนินการโดยเทียบเคียงกับกฎหมายอื่น ที่เยาวชนกระทำความผิด แต่ไม่ต้องรับโทษ
วันนี้หากสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบหรือผ่านวาระ 3 ไปได้ ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหา เพราะเป็นร่างที่เสนอโดยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และมีร่างของพรรคภูมิใจไทยและกล้าธรรมรวม ที่ตอนนี้เป็นรัฐบาลรวมอยู่ด้วย ทั้ง "น้ำเงิน ส้ม แดง" จึงวิน-วิน ได้ประโยชน์ไปด้วยกันทุกฝ่าย
ดังนั้น การพิจารณาในชั้นของสภาผู้แทนราษฎร ไม่น่าจะมีอะไรทำให้สะดุด และหากทำได้ม้วนเดียวจบในวันเดียว ก็ส่งต่อไปให้วุฒิสภาทันก่อนปิดสมัยประชุม 30 ตุลาคมนี้ เพื่อจะได้ใช้เวลาช่วงปิดสมัยประชุมพิจารณาวาระ 2 ได้
จากนั้น เมื่อเปิดสมัยประชุมมาอีกครั้งในวันที่ 12 ธันวาคม ก็ส่งเข้าที่ประชุมใหญ่พิจารณาในวาระ 2-3 ต่อได้เลย ซึ่งน่าจะมีเวลาพอสำหรับการให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนี้ ก่อนที่จะมีการยุบสภา
นี่ว่ากันแบบโลกสวยสุดๆ ซึ่งเอาเข้าจริงไม่รู้จะราบรื่นแบบนี้หรือเปล่า?
โดยเฉพาะในชั้นของวุฒิสภา หากมีความเห็นต่างจากร่างที่สภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบและมีการแก้ไข ก็ต้องส่งกลับมาให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา และอาจนำไปสู่การตั้งคณะกรรมาธิการร่วม เช่นเดียวกับร่างแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ ที่เวลานี้ยังไม่ประกาศใช้
เอาเป็นว่า ลำพังทุกอย่างราบรื่น ยังต้องลุ้นว่านายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล จะชิงยุบสภาก่อนกำหนดหรือเปล่า เพราะเริ่มส่งสัญญาณชัดๆ มาแล้วว่า "อะไรก็เกิดขึ้นได้" และมีหลายๆ เรื่อง ที่เป็นปัจจัยนำไปสู่การยุบสภาก่อน 31 มกราคม 69
ดังนั้น หากยิ่งมีการแก้ไขในชั้นของวุฒิสภาและนำไปสู่การตั้งคณะกรรมาธิการร่วมจริง ก็คงเลิกฝัน กลายเป็นฝันค้างไป สำหรับผู้ที่รอคอยการปลดล๊อกพันธนาการแห่งชีวิต โดยเฉพาะคนที่มีคดีความติดตัวรอการตัดสินในศาลสุดท้าย
หากสถานการณ์เป็นแบบนี้ มีการยุบสภาเกิดขึ้นเสียก่อนที่ร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข จะผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภา ก็ต้องรอหลังการเลือกตั้งให้รัฐบาลชุดใหม่ นำร่างกฎหมายที่ค้างอยู่มายืนยันให้สภาพิจารณาต่อ
รอได้ก็รอ รอไม่ได้ก็ต้องรอ เพราะเหลือเพียงหนทางเดียว
ว่ากันว่าไฮไลท์สำคัญของร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนี้ จุดอ่อนอยู่ที่ มาตรา 9/1 การเปิดช่องนิรโทษกรรมแบบวิถีโค้งให้เยาวชนคดีมาตรา 112 ซึ่งหากเห็นความหนักเบาของมูลแห่งคดีแล้ว อาจเป็นเหตุให้สว.คิดหนัก ถ้าต้องยอมให้ผ่านไปทั้งดุ้น
ชะตากรรมกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับประวัติศาสตร์เวลานี้ จึงไม่ต่างกับลูกไก่ในกำมือสว.ด้วยเหตุนี้


