เราจะฝ่า เราจะทน เราจะไป..เป็นสามคำที่พลพรรคประชาชน ชาวสีส้ม ท่องเอาไว้ตลอด ทั้งพยายามโยงเข้าหาทุกเรื่องที่เป็นปัญหาของประเทศว่า มีต้นตอมาจากรัฐธรรมนูญ อันเป็นกติกาที่บิดเบี้ยว
รัฐธรรมนูญใหม่ที่มาจากประชาชน คือกุญแจสำคัญไขไปสู่ทุกคำตอบของปัญหา
วันนี้ฤกษ์ดี 52 ปี 14 ตุลาคม ปี 2516 ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ รัฐสภาได้เริ่มต้นนับหนึ่งพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งใช้เวลาสองวันในการพิจารณาวาระแรก คือ วันที่ 14-15 ตุลาคม ตามรายละเอียดที่ตกลงกันไว้
หากทุกอย่างราบรื่น ไม่มีปัญหารายทางหรือสะดุดอะไรขึ้นเสียก่อน ก็จะได้ทำประชามติสอบถามประชาชนไปพร้อมกับการเลือกตั้งใหม่ที่จะมีขึ้น ตามคำถามที่ออกแบบกันเอาไว้
นั่นคือ เห็นด้วย-ไม่เห็นด้วย กับการให้จัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่
แต่จากบรรยากาศการเมืองเวลานี้ทำให้หลายคนชักเริ่มไม่แน่ใจว่า จะได้ทำประชามติไปพร้อมกับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นหรือไม่ ยิ่งนายกฯ ส้มหล่น อนุทิน ชาญวีรกูล ย้ำรายวัน "ยืนยันวันที่ 31 ม.ค.69 ยุบสภาแน่นอน ไม่มีเกิน มีแต่ก่อน"
ปัญหาอยู่ตรงที่ยุบสภาก่อนนี่แหล่ะ
เพราะหากยุบสภาก่อน 120 วัน เท่ากับ "ล้มกระดาน" การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เนื่องจากตามกำหนดเดิม 120 วัน ก็มีความตึงตัวจะทันมิทันแหล่อยู่แล้ว เพราะติดกรอบเวลา 90 วันในกฎหมายประชามติ แต่เลือกตั้งต้องไม่เกิน 60 วัน
ทีนี้ไปดูว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 ร่าง ที่รัฐสภาพิจารณาในวันนี้จะไปต่ออย่างไร และแต่ละด่านมีความยุ่งยากขนาดไหน ซึ่งฟังสัญญาณจากนายกฯ อนุทิน เมื่อวาน(13 ต.ค.69) ที่ว่า "หวังว่าจะผ่านในวาระรับหลักการ จากนั้น ก็จะมีในชั้นกรรมาธิการ"
เท่ากับว่า ด่านแรก คงผ่านฉลุยรับหลักการไปทั้ง 3 ร่าง คือ ร่างพรรคประชาชน ร่างพรรคเพื่อไทย และร่างพรรคภูมิใจไทย ที่เสนอโดยพรรคร่วมรัฐบาล แม้จะมีรายละเอียดแตกต่างกันเรื่องจำนวนและที่มาสสร.อยู่มากก็ตาม
แต่เพื่อรักษาสัมพันธภาพและบรรยากาศที่ดีเอาไว้ จึงจับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นตัวประกันทางการเมืองเอาไว้ก่อน วันใดที่ไปต่อไม่ไหวจริง ๆ ค่อยหักมุม ล้มกระดานทีหลังก็ยังไม่สาย
ด่านที่สอง ในชั้นกรรมาธิการ วาระ 2-3 จะยุ่งยากและใช้เวลามากที่สุด เพื่อยำทั้งสามร่างเข้าด้วยกันให้ออกมาเป็นร่างของคณะกรรมาธิการ ซึ่งแน่นอนต้องใช้ร่างพรรคร่วมรัฐบาลเป็นร่างหลัก
ปัญหาใหญ่คือ จะพบกันครึ่งทางได้อย่างไร?
เพราะที่มาสสร.มี 3 โมเดล ไม่นับรายละเอียดอื่น ที่ร่างของพรรคร่วมรัฐบาลให้แก้ไขตั้งแต่หลักเกณฑ์ในมาตรา 256 ไปจนถึงเนื้อหาในรัฐธรรมนูญที่จะยกร่างขึ้นใหม่ ต้องไม่ไปแตะหมวด 1 หมวด 2
สมมติว่า ผ่านอุปสรรคนานัปการไปได้ โดย 3 ทหารเสือของรัฐบาล บวรศักดิ์ อุวรรณโณ วุฒิสาร ตันไชย สมคิด เลิศไพฑูรย์ ใช้ศิลปะชั้นครูผสมทุกร่างเข้าเป็นร่างคณะกรรมาธิการได้อย่างกลมกลืน แถมไม่มีอุบัติเหตุทางการเมือง ให้พรรคเพื่อไทย ยื่นซักฟอกรัฐบาล จนต้องชิงยุบสภาหนีเสียก่อน
เอาเป็นว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาในวาระ 3 ไปได้
สุดท้ายด่านที่สาม คือ การออกเสียงประชามติ จะเป็นตัวตัดสินและเป็นคำตอบสุดท้ายว่า จะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ซึ่งรายละเอียดรองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย บวรศักดิ์ อุวรรณโณ จะชี้แจงในวันพฤหัสฯ นี้
ทั้งหมดที่ว่ามา พยายามให้ทุกอย่างราบรื่น มองข้ามแม้แต่เรื่องเทคนิคทางกฎหมาย โดยเฉพาะกรอบเวลา 90 วันในกฎหมายประชามติ ที่เหลื่อมเวลากับการเลือกตั้งต้องไม่เกิน 60 วัน ซึ่งไม่ว่าจะใช้สูตรไหนคำนวณ เปิดสภาสมัยวิสามัญรองรับ หรือเสนอญัตติพ่วง 2 คำถามไปพร้อมกันในคราวเดียว
สุดท้ายยังนับเวลาได้ 83 วัน หย่อนไป 3 วัน ไม่ครบ 90 วันอยู่ดี
หรือต่อให้กฎหมายประชามติฉบับแก้ไข มีผลออกมาบังคับใช้ทันเวลา เพราะยืดหยุ่นการทำประชามติพร้อมเลือกตั้งไว้ที่ไม่เร็วกว่า 60 วัน ไม่ช้าไปกว่า 150 วัน ซึ่งเวลาใหม่ที่นับได้เพิ่มเป็น 87 วัน อยู่ในกรอบพอดี แต่ก็สุ่มเสี่ยงถูกร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเวลาที่คณะรัฐมนตรี กำหนดให้ออกเสียงประชามตินั้น
เป็นเงื่อนไขที่เกิดขึ้นก่อนจะมีการยุบสภา!!
นี่แหล่ะ 3 ด่านหิน ของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่จะนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ ซึ่งหลายคนเชื่อว่าต่อให้ผ่านสองด่านแรกไปได้ ก็คงไปติดด่านสุดท้าย ไม่ผ่านประชามติอยู่ดี
แต่ตอนนี้ขอจับเป็นตัวประกันทางการเมืองเอาไว้ก่อน


