‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ ต้องรับผิดชอบทางการเมืองอย่างไร?

1 ธ.ค. 2568 - 05:03

  • ถามหาความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรีเหตุน้ำท่วมหาดใหญ่

  • การรับมือปัญหา ที่ล้มเหลว และขาดความพร้อม จนส่งผลกระทบวงกว้าง

  • ฝ่ายค้าน ฝ่ายแค้น จะทำทำอย่างไร พร้อมเดินหน้ายื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่

‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ ต้องรับผิดชอบทางการเมืองอย่างไร?

เพราะจัดการปัญหาในภาวะวิกฤต‘ล้มเหลว’ ขาดทั้งความสามารถ วุฒิภาวะ และประเมินสถานการณ์ผิดพลาด ส่งผลให้ความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาลดำดิ่งสู่ก้นทะเลลึก ที่แม้ในเวลาต่อมาจะยอมรับผิด ขอโทษประชาชนแล้วก็ตาม

แต่ก็เป็นอาการของสุนัขจนตรอกเสียมากกว่า

ทีนี้นอกจากการเปล่งวาจาแสดงการ ‘ขอโทษ’ และยอมรับผิดทุกอย่างแล้ว ในทางการเมือง อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จะต้องรับผิดชอบในระดับไหน อย่างไรบ้าง ซึ่งแน่นอนว่ามีเพียงสองทางเท่านั้น คือ ‘ยุบสภา-ลาออก’

การยุบสภา ถือเป็นการ‘คืนอำนาจ’ให้กับประชาชน ได้ตัดสินใจเลือกผู้บริหารประเทศกันใหม่อีกครั้ง อันเป็นทั้งการแสดงความรับผิดชอบและการพิสูจน์ตัวเองของรัฐบาลไปด้วยพร้อมกัน คือ ถ้าเห็นว่าไม่ดี ก็ไม่ต้องเลือกกลับเข้ามาอีก

ส่วนการลาออก ก็เป็นความรับผิดชอบทางการเมืองอย่างหนึ่ง แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันอาจจะไม่เหมาะ เพราะเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจที่มีอายุเพียงแค่ 4 เดือน และได้กำหนดวันยุบสภาเอาไว้แล้วไม่เกินวันที่ 31 มกราคม 2569

นอกจากนั้น สภาพของแต่ละพรรคการเมืองในขณะนี้ ก็ ‘ไม่พร้อม’ สำหรับการจัดตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่ เพราะอยู่ในภาวะแตกทัพ อีกทั้ง ขาดตัวบุคคลจะเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ หนทางนี้จึงไม่เป็นผลดีต่อบ้านเมือง

ยุบสภาล้างไพ่ใหม่ จึงเป็นทางออกที่ประเสริฐ

แต่เมื่อเทียบมาตรฐานความรับผิดชอบของนักการเมืองไทย ที่มักจะใช้วิธีอยู่ต่อเพื่อแก้ปัญหาข้อผิดพลาดของตัวเองมากกว่าการลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ ดังนั้น อาจต้องพึ่งกลไกรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 มาตรา 152 มากระทุ้ง

นั่นคือ ให้พรรคการเมืองฝ่ายค้าน เข้าชื่อกัน ‘ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ’ รัฐบาล ตามมาตรา 151 ซึ่งก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทย เคยแสดงความกระตือรือล้นไว้เป็นพิเศษ แต่ต่อมามีการตกลงกับพรรคประชาชนจะไม่มีการยื่นอภิปรายมาตรานี้  จนกว่าร่างแก้  ไขรัฐธรรมนูญจะผ่านการลงมติวาระ 3

แต่เป็นการพูดคุยกันก่อนเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ จึงไม่แน่ใจว่าในสายตาของสองพรรคฝ่ายค้านใหญ่ จะมองเห็นปัญหาไหน‘เร่งด่วน’มากกว่ากัน ระหว่าง ‘มหาอุทกภัย’ กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะหากยื่นอภิปราย มาตรา 151

เท่ากับบีบให้รัฐบาลยุบสภาหนีตาย!!

หรือหากจะยังกังวลเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เดินทางมาไกลและเกือบจะถึงปลายทางแล้ว ก็ควรใช้ช่องทาง มาตรา 152 ยื่นขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดย‘ไม่ลงมติ’แทน เพื่อสอบถามและให้คำแนะนำเกี่ยวกับปัญหาน้ำท่วมใหญ่แทน ก็คงพอกล้อมแกล้มไปได้บ้าง

ไหนๆ คนในรัฐบาล ก็เคยชี้ช่องให้ฝ่ายค้านใช้ มาตรา 152 เปิดอภิปรายทั่วไปรัฐบาลโดยไม่ลงมติอยู่แล้ว ก็ใช้โอกาสนี้อภิปรายซักถามเสนอแนะปัญหาต่างๆ ต่อคณะรัฐมนตรีเสียเลย

หรือว่าผู้นำฝ่ายค้านฯ จะโชว์ภาวะผู้นำ ใช้ช่องทางมาตรา 155 ทำหนังสือถึงประธานรัฐสภา ขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมรัฐสภา ‘เพื่อปรึกษาหารือร่วมกัน’ ระหว่างรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี กรณีมีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับความมั่่นคงปลอดภัยหรือเศรษฐกิจของประเทศ ก็ย่อมได้

สุดท้าย ถ้ารัฐบาลจะเปิดใจให้กว้างๆ ชิงขอเปิดอภิปรายทั่วไปเสียเอง รัฐธรรมนูญ มาตรา 165 ก็เปิดช่องให้นายกรัฐมนตรี แจ้งประธานรัฐสภา ขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาได้ กรณีที่มีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน ที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควรรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกรัฐสภา

เรื่องนี้มีตัวอย่างในสมัยรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขอให้พิจารณาแนวทางการสร้างความสมานฉันท์ในบ้านเมือง การปฏิรูปการเมือง และการแก้ไขปัญหารัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 และในสมัยรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขอให้พิจารณากรณีประเทศสหรัฐอเมริกา ขอใช้สนามบินอู่ตะเภา มาแล้ว

พรุ่งนี้ หากรัฐบาล อนุทิน ชาญวีรกูล จะชิงขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อรับฟังความเห็นปัญหาน้ำท่วมหาดใหญ่บ้าง คงไม่ผิดกติกา เพราะมีนักวิชาการชี้โพรงให้แล้วว่า น้ำท่วมหาดใหญ่หนนี้ เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เรื่องตัวบุคคล

อย่างน้อยคงเป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบทางการเมืองได้บ้าง ในยุคที่พรรคการเมืองต่าง ‘ยืนขาตาย’ เพราะหวังจะเข้าร่วมรัฐบาลหลังการเลือกตั้งครั้งหน้าหันทั้งนั้น

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์