เพราะจัดการปัญหาในภาวะวิกฤต‘ล้มเหลว’ ขาดทั้งความสามารถ วุฒิภาวะ และประเมินสถานการณ์ผิดพลาด ส่งผลให้ความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาลดำดิ่งสู่ก้นทะเลลึก ที่แม้ในเวลาต่อมาจะยอมรับผิด ขอโทษประชาชนแล้วก็ตาม
แต่ก็เป็นอาการของสุนัขจนตรอกเสียมากกว่า
ทีนี้นอกจากการเปล่งวาจาแสดงการ ‘ขอโทษ’ และยอมรับผิดทุกอย่างแล้ว ในทางการเมือง อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จะต้องรับผิดชอบในระดับไหน อย่างไรบ้าง ซึ่งแน่นอนว่ามีเพียงสองทางเท่านั้น คือ ‘ยุบสภา-ลาออก’
การยุบสภา ถือเป็นการ‘คืนอำนาจ’ให้กับประชาชน ได้ตัดสินใจเลือกผู้บริหารประเทศกันใหม่อีกครั้ง อันเป็นทั้งการแสดงความรับผิดชอบและการพิสูจน์ตัวเองของรัฐบาลไปด้วยพร้อมกัน คือ ถ้าเห็นว่าไม่ดี ก็ไม่ต้องเลือกกลับเข้ามาอีก
ส่วนการลาออก ก็เป็นความรับผิดชอบทางการเมืองอย่างหนึ่ง แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันอาจจะไม่เหมาะ เพราะเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจที่มีอายุเพียงแค่ 4 เดือน และได้กำหนดวันยุบสภาเอาไว้แล้วไม่เกินวันที่ 31 มกราคม 2569
นอกจากนั้น สภาพของแต่ละพรรคการเมืองในขณะนี้ ก็ ‘ไม่พร้อม’ สำหรับการจัดตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่ เพราะอยู่ในภาวะแตกทัพ อีกทั้ง ขาดตัวบุคคลจะเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ หนทางนี้จึงไม่เป็นผลดีต่อบ้านเมือง
ยุบสภาล้างไพ่ใหม่ จึงเป็นทางออกที่ประเสริฐ
แต่เมื่อเทียบมาตรฐานความรับผิดชอบของนักการเมืองไทย ที่มักจะใช้วิธีอยู่ต่อเพื่อแก้ปัญหาข้อผิดพลาดของตัวเองมากกว่าการลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ ดังนั้น อาจต้องพึ่งกลไกรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 มาตรา 152 มากระทุ้ง
นั่นคือ ให้พรรคการเมืองฝ่ายค้าน เข้าชื่อกัน ‘ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ’ รัฐบาล ตามมาตรา 151 ซึ่งก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทย เคยแสดงความกระตือรือล้นไว้เป็นพิเศษ แต่ต่อมามีการตกลงกับพรรคประชาชนจะไม่มีการยื่นอภิปรายมาตรานี้ จนกว่าร่างแก้ ไขรัฐธรรมนูญจะผ่านการลงมติวาระ 3
แต่เป็นการพูดคุยกันก่อนเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ จึงไม่แน่ใจว่าในสายตาของสองพรรคฝ่ายค้านใหญ่ จะมองเห็นปัญหาไหน‘เร่งด่วน’มากกว่ากัน ระหว่าง ‘มหาอุทกภัย’ กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะหากยื่นอภิปราย มาตรา 151
เท่ากับบีบให้รัฐบาลยุบสภาหนีตาย!!
หรือหากจะยังกังวลเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เดินทางมาไกลและเกือบจะถึงปลายทางแล้ว ก็ควรใช้ช่องทาง มาตรา 152 ยื่นขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดย‘ไม่ลงมติ’แทน เพื่อสอบถามและให้คำแนะนำเกี่ยวกับปัญหาน้ำท่วมใหญ่แทน ก็คงพอกล้อมแกล้มไปได้บ้าง
ไหนๆ คนในรัฐบาล ก็เคยชี้ช่องให้ฝ่ายค้านใช้ มาตรา 152 เปิดอภิปรายทั่วไปรัฐบาลโดยไม่ลงมติอยู่แล้ว ก็ใช้โอกาสนี้อภิปรายซักถามเสนอแนะปัญหาต่างๆ ต่อคณะรัฐมนตรีเสียเลย
หรือว่าผู้นำฝ่ายค้านฯ จะโชว์ภาวะผู้นำ ใช้ช่องทางมาตรา 155 ทำหนังสือถึงประธานรัฐสภา ขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมรัฐสภา ‘เพื่อปรึกษาหารือร่วมกัน’ ระหว่างรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี กรณีมีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับความมั่่นคงปลอดภัยหรือเศรษฐกิจของประเทศ ก็ย่อมได้
สุดท้าย ถ้ารัฐบาลจะเปิดใจให้กว้างๆ ชิงขอเปิดอภิปรายทั่วไปเสียเอง รัฐธรรมนูญ มาตรา 165 ก็เปิดช่องให้นายกรัฐมนตรี แจ้งประธานรัฐสภา ขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาได้ กรณีที่มีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน ที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควรรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกรัฐสภา
เรื่องนี้มีตัวอย่างในสมัยรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขอให้พิจารณาแนวทางการสร้างความสมานฉันท์ในบ้านเมือง การปฏิรูปการเมือง และการแก้ไขปัญหารัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 และในสมัยรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขอให้พิจารณากรณีประเทศสหรัฐอเมริกา ขอใช้สนามบินอู่ตะเภา มาแล้ว
พรุ่งนี้ หากรัฐบาล อนุทิน ชาญวีรกูล จะชิงขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อรับฟังความเห็นปัญหาน้ำท่วมหาดใหญ่บ้าง คงไม่ผิดกติกา เพราะมีนักวิชาการชี้โพรงให้แล้วว่า น้ำท่วมหาดใหญ่หนนี้ เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เรื่องตัวบุคคล
อย่างน้อยคงเป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบทางการเมืองได้บ้าง ในยุคที่พรรคการเมืองต่าง ‘ยืนขาตาย’ เพราะหวังจะเข้าร่วมรัฐบาลหลังการเลือกตั้งครั้งหน้าหันทั้งนั้น


