สงครามชายแดน จุดเปลี่ยนการเมือง

9 ธ.ค. 2568 - 03:16

  • ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อแผนการเมืองในประเทศ

  • นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยและเกียรติภูมิ

  • สถานการณ์ครั้งนี้อาจนำไปสู่การปรับเปลี่ยนวิธีการตรวจสอบรัฐบาล

สงครามชายแดน จุดเปลี่ยนการเมือง

หลังเกิดเหตุปะทะรอบใหม่ระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา บริเวณพื้นที่ชายแดนตั้งแต่ภาคอีสานไปจนถึงภาคตะวันออก ซึ่งครั้งนี้กินพื้นที่เป็นแนวกว้างมากกว่าเดิม เพราะครอบคลุมทั้งกองทัพภาคที่ 1 กองทัพภาคที่ 2 และกองทัพเรือ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จะตอบคำถามผู้สื่อข่าวแบบเลี่ยงๆ ถึงประเด็นการเมืองต่างๆ ในช่วงนี้ควรจะพักเอาไว้ก่อนหรือไม่ว่า "ต้องไปถามคนที่ต้องการเช่นนั้นมากกว่า"

พร้อมสำทับว่า ตนมีหน้าที่ของตน ในขณะนี้ตนเป็นนายกฯ เป็นผู้นำประเทศ เป็นผู้ต้องรักษาแผ่นดิน รักษาอธิปไตยของประเทศ ต้องใช้หน้าที่ที่มีอยู่ในการปกป้องประเทศของเราให้มีความปลอดภัยสูงสุด ไม่ให้มีใครมาดูหมิ่นเหยียดหยามหรือก้าวก่ายในเกียรติภูมิหรืออธิปไตยของเรา

แม้จะตอบไม่ตรงคำถาม แต่วิญญูชน ก็น่าจะรู้ว่าเวลานี้ควรให้ความสำคัญกับเรื่องไหนก่อน

แต่เพื่อให้ได้คำตอบชัดๆ สื่อจึงถามซ้ำว่า เหตุการณ์ครั้งนี้จะมีผลต่อการตัดสินใจยุบสภาเร็วหรือช้าหรือไม่ ทีนี้คำตอบกลับออกทะเลลึกกว่าเดิม เพราะยังย้ำไปที่อำนาจสั่งการตามกฎหมาย ประเภท "ไปไหนมา สามวาสองศอก"

ขณะที่ในฟากฝ่ายค้าน สรวงศ์ เทียนทอง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ถูกจี้ถามเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลด้วย เมื่อเกิดปัญหาชายแดนแบบนี้ยังจะยื่นอีกหรือไม่ ก็ยอมรับเป็นข้อกังวลอยู่ และตอบแบบเอี้ยวตัวหน่อยๆ ว่า

"อย่าลืมว่าจริงๆ แล้วหน้าที่ของฝ่ายค้าน คือการตรวจสอบรัฐบาล ต้องบอกว่าเราพร้อม แต่ทั้งหมดเราต้องคำนึงหลายๆ อย่างหลังจากอุทกภัยครั้งใหญ่ เราก็มาเจอปัญหาชายแดนอีก ตอนนี้หัวหน้าพรรคเพื่อไทยกำลังประชุมเครียดกันอยู่ว่าจะทำอย่างไรต่อ"

สรุปเรื่องซักฟอกรัฐบาล พรรคเพื่อไทย กำลังอยู่ในภาวะเครียด จะนำเข้าหารือในที่ประชุมพรรคในวันอังคารที่ 9 ธันวาคม และขอความเห็นจากสส.ของพรรคอีกครั้ง

ความจริงเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล นาทีนี้พรรคเพื่อไทย น่าจะมีคำตอบในเบื้องต้นแล้ว หากนำไปเทียบกับกรณีมหาอุทกภัยหาดใหญ่ ที่ต้องต้องพักเรื่องอภิปรายไม่ไว้วางใจเอาไว้ เพื่อให้รัฐบาลได้มีสมาธิแก้ปัญหาให้ประชาชน

ฉันใดก็ฉันนั้น เทียบกับปัญหาการสู้รบครั้งนี้ น่าจะมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และอาจจะใหญ่หลวงกว่าด้วยซ้ำ เพราะเป็นเรื่องของอธิปไตย ดินแดนและความมั่นคงของชาติ

ทีนี้หากจะใช้เวทีสภาทำหน้าที่ฝ่ายค้านตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหารจริงๆ ก็น่าจะปรับช่องทางจากการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ มาตรา 151 เปลี่ยนมาใช้ช่องทางมาตรา 152 ขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติแทน

ตรงนี้ น่าจะใช้กระสุนนัดเดียวได้นกสองตัวด้วยซ้ำ คือ ได้ตรวจสอบฝ่ายบริหารผ่านกลไกของสภา และแสดงความเห็น ให้ข้อเสนอแนะในสิ่งที่เป็นปัญหาของบ้านเมืองไปด้วยพร้อมๆ กัน ส่วนรัฐบาลจะรับฟังหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่งv

แต่ถือว่าฝ่ายค้านได้ทำหน้าที่อย่างมีวุฒิภาวะในห้วงที่บ้านเมืองอยู่ในยามคับขัน

เอาเป็นว่า ฝ่ายค้านจะใช้กลไกหรือช่องทางใดตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร คงไปพิจารณากันเองได้ ซึ่งมีทั้งตั้งกระทู้ถามไปจนถึงการเสนอเป็นญัตติต่อสภา เพราะอีกไม่กี่วันสภาก็เปิดแล้ว และยังมีช่องทางยื่นร้องศาลรัฐธรรรมนูญ ตรวจสอบรัฐมนตรี "สอยตกเก้าอี้" ได้ด้วย อย่างที่เล็งๆ กันอยู่

เพียงแต่ดาบที่จะใช้ต้องเลือกให้เหมาะกับสถานการณ์หน่อยเท่านั้นแหล่ะ

การสู้รบยกสองของไทย-กัมพูชา ยังมีคำถามตามมาว่า กัมพูชาชิงลงมือก่อนเพื่ออะไร ถ้าต้องการเพียงกลบข่าวที่เพลี่ยงพล้ำไทยในเวทีออตตาวา เอาคืนเรื่องถูกยึดทรัพย์สแกมเมอร์หมื่นล้าน หรือปลุกกระแสรักชาติให้ลืมเรื่องปากท้อง ปัญหาเศรษฐกิจในประเทศที่กำลังย่ำแย่

คำถามที่ตามมาคือ คุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่ายหรือไม่

แต่สำหรับไทยเรา เหมือนลูกเข้าเท้า รุกกลับทีเดียวเอาคืนทุกพื้นที่ที่เป็นอธิปไตยของไทย ตามเส้นเขตอัตรา 1 ต่อ 50,000 ไม่นับเรื่องกระแสการเมือง ที่บางพรรคได้โอกาสขี่กระแสรักชาติ ดึงเรตติ้งกลับมาได้อีกครั้ง

ดังนั้น ในยามที่บ้านเมืองเผชิญศึกสงคราม ซึ่งไม่รู้จะใช้เวลาสั้นยาวขนาดไหน ไม่เฉพาะฝ่ายค้านที่ต้องปรับบทบาทการทำงานให้ล้อไปกับสถานการณ์ ปฏิทินเลือกตั้งก็ยังอาจต้องขยับ หากการสู้รบติดพันยืดเยื้อกว่าที่คิดไว้

สงครามชายแดนเที่ยวนี้ จึงนำไปสู่จุดเปลี่ยนของการเมืองได้ไม่มากก็น้อย

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์