พลันที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกประกาศเรื่องจำนวนสส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งและเขตเลือกตั้งของแต่ละจังหวัดจะพึงมี ลงในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา
มีผลทำให้คอการเมือง ฮือฮากันไม่น้อย โดยเข้าใจว่าการเลือกตั้งใหม่ได้เริ่มนับหนึ่งขึ้นแล้ว
แม้แต่นักข่าวยังนำไปเป็นประเด็นสอบถาม อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ถึงความได้เปรียบเสียเปรียบ ซึ่งได้รับคำตอบกว้างๆ ว่า "จริง ๆ ก็เจอแบบนี้ทุกการเลือกตั้ง เราจะไปก้าวล่วงไม่ได้ เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต.พรรคการเมืองที่จะไปหาเสียงก็ต้องปรับตัวเอง ไม่ใช่ให้ กกต.ปรับเข้าหาเรา เพราะ กกต.เป็นคนออกกฎเกณฑ์"
พร้อมกับย้ำให้พรรคการเมือง ไปสร้างนโยบายที่โดนใจประชาชน ดีกว่ามานั่งคิดว่าได้เปรียบหรือเสียเปรียบใคร "การแข่งขันเกิดขึ้นตลอดเวลา ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือนโยบายและการสร้างความเชื่อมั่นน่าเชื่อถือให้กับประชาชน ว่าถ้าหากเลือกเราเข้ามาเราจะสามารถทำงานให้ประชาชนได้ เป็นที่น่าพอใจ จึงถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด"
ฟังดูก็ยิ่งสมจริงชวนให้เชื่อว่า นี่คือการนับหนึ่งเลือกตั้งใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว
แต่หากสแกนเข้าไปไส้ในประกาศฉบับดังกล่าวของกกต.จะพบว่าเป็นเพียงเตรียมการเลือกตั้ง "กางสูตรคำนวณสส.พึงมี" ที่บังเอิญไปสอดคล้องกับกระแสยุบสภาเลือกตั้งใหม่เข้าพอดีเท่านั้นเอง
เอาเป็นว่า ถ้ามีการยุบสภาพรุ่งนี้ มะรืนนี้หรือภายในปีนี้ ก็จะได้ใช้ข้อมูลจำนวนสส.เขตและจำนวนเขตที่พึงมีของแต่ละจังหวัดตามที่ประกาศไว้ แต่หากการยุบสภามีขึ้นในปีหน้า ตามที่ประกาศไว้ไม่เกินวันที่ 31 มกราคม 2569
กกต.ต้องคำนวณและออกประกาศกันใหม่ เพราะที่ประกาศไปนั้น ใช้ฐานราษฎรที่มีสัญชาติไทยทั่วราชอาณาจักร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ซึ่งมีจำนวน 64,953,661 คน โดยเฉลี่ยราษฎร 162,384 คน ต่อ สส.1 คน และแบ่งจำนวนสส.แบบแบ่งเขตและเขตเลือกตั้งของแต่ละจังหวัดจะพึงมี ตามประกาศดังกล่าว
คิดง่ายๆ คือ การเลือกตั้งที่มีขึ้นในแต่ละปี ต้องใช้ข้อมูลราษฎรปีที่ผ่านมาเป็นฐานในการคำนวณ
ทีนี้ที่ กกต.ใช้คำว่า จำนวนราษฎร "สัญชาติไทย" ทั่วราชอาณาจักร ก็สืบเนื่องจากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 มีผู้ยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า การแบ่งเขตเลือกตั้งและจำนวนสส.เขตของกกต.ไม่ถูกต้อง เพราะคิดจากจำนวนราษฎรที่มีอยู่ในทะเบียนราษฎร์ ซึ่งมีชาวต่างชาติที่ไม่มีสัญชาติไทยและไม่ได้มีสิทธิเลือกตั้งรวมอยู่ด้วย

จนศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยว่า สส.คือผู้แทนปวงชนชาวไทย ดังนั้น จำนวนสส.และการแบ่งเขตต้องอิงกับฐานข้อมูลที่เป็นชาวไทยเท่านั้น จะนำชาวต่างชาติที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทยและไม่มีสิทธิเลือกตั้งมารวมคำนวณด้วยไม่ได้
สุดท้าย กกต.ต้องไปแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่และใช้เป็นบรรทัดฐานมาถึงวันนี้
สรุปประกาศ กกต.เมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา จึงเป็นการเตรียมพร้อมขั้นที่หนึ่ง ไม่ใช่เป็นการนับหนึ่งของการเลือกตั้งใหม่ที่จะมีขึ้นเสียเลยทีเดียว เพราะยังไม่มีการยุบสภาเกิดขึ้น
ในขณะที่จำนวนสส.แบบแบ่งเขตและจำนวนเขตเลือกตั้งที่แต่ละจังหวัดจะพึงมี ก็ยึดตามสัดส่วนประชากรของแต่ละจังหวัด อัตรา 162,384 คน ต่อ สส.1 คน
สำหรับการ "แบ่งเขตเลือกตั้ง" เช่น กทม.มีทั้งหมด 33 เขต การจะให้แต่ละเขตประกอบไปด้วยพื้นที่ไหนบ้าง และจะทำให้มีการได้เปรียบเสียเปรียบกันเกิดขึ้นนั้น กกต.ยังไม่ได้ดำเนินการ ซึ่งจะเป็นอีกขั้นตอนหลังมีการยุบสภาไปแล้ว
ทั้งนี้ หลักการแบ่งเขตตามระเบียบที่วางไว้ จะยึดทั้งหลักภูมิศาสตร์และเขตปกครอง กล่าวคือ จะต้องอยู่ในพื้นที่อำเภอหรือเขตปกครองเดียวกัน โดยไม่มีการผ่าพื้นที่อำเภอ ตำบล ออกไปเป็นคนละเขตหากไม่จำเป็น รวมทั้ง ยึดตามหลักภูมิศาสตร์ เช่น แม่น้ำ ภูเขา ไม่ให้อยู่แยกห่างออกไปแบบโดดๆ มากไป
โดยหลักการทั้งหมดที่ว่ามา จะมีกระบวนการเปิดรับฟังความเห็นและให้ตัวแทนพรรคการเมือง ได้มีส่วนร่วมในการแบ่งเขตด้วย ก่อนจะส่งเรื่องมาที่ส่วนกลางให้ กกต.ออกเป็นประกาศต่อไป
สรุปอย่าเพิ่งไปวิตกเรื่องใครได้เปรียบเสียเปรียบ เพราะเป็นแค่การกางสูตรคำนวณสส.พึงมีของแต่ละจังหวัดตามสัดส่วนประชากรเท่านั้น ยังไปไม่ถึงการสลายเขตเก่าผุดเขตใหม่ เอื้อประโยชน์ให้บางคน บางพรรค อย่างที่นักการเมืองเขากลัวกัน
วันนี้ทุกเขตยังอยู่ครบ ยกเว้นประชากรเพิ่มขึ้นหรือลดลงเท่านั้น ที่อาจมีงอกหรือหายไปบ้าง


