ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศรายชื่อผู้รับรางวัลเกียรติยศเคนเนดี เซ็นเตอร์ ประจำปีนี้ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยมีนักแสดงชื่อดัง ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน จากภาพยนตร์เรื่อง "Rocky" และนักร้องคันทรีระดับตำนาน จอร์จ สเตรท รวมอยู่ในรายชื่อ ท่ามกลางการปฏิรูปสถาบันศิลปะแห่งชาติที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง
ทรัมป์แถลงที่อาคารหินอ่อนสีขาวริมแม่น้ำโปโต แมค ว่า พวกเราได้พลิกฟื้นสถาบันชาติอันทรงเกียรติแห่งนี้จากความเสื่อมโทรมมาแล้ว
เคนเนดี เซ็นเตอร์ซึ่งเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 1971 เป็นอนุสรณ์สถานแด่อดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี และเคยได้รับการสนับสนุนจากทั้งสองพรรคการเมือง
ศิลปินผู้ได้รับเกียรติ
นอกจากสตอลโลนวัย 79 ปี ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนทรัมป์และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 3 สาขาจากบทบาทร็อกกี้ บัลโบ แล้ว รายชื่อผู้รับรางวัลยังประกอบด้วยนักร้องดิสโก้ โกลเรีย เกย์เนอร์ , วง KISS และนักแสดงชาวอังกฤษ ไมเคิล ครอว์ฟอร์ด จากละครเวที "Phantom of the Opera"
จอร์จ สเตรท วัย 73 ปี เป็นหนึ่งในนักดนตรีที่ขายอัลบั้มได้มากที่สุดตลอดกาล ด้วยยอดขายกว่า 120 ล้านแผ่น จากเพลงฮิตอย่าง ‘All My Exes Live in Texas’ และ ‘Amarillo by Morning’ ทรัมป์กล่าวชมว่า เขาหล่อมาก หวังว่าจะยังดูแบบนั้นอยู่
การเป็นเจ้าภาพครั้งแรก
ทรัมป์ประกาศว่าจะเป็นเจ้าภาพงานมอบรางวัลด้วยตัวเอง ซึ่งปกติจะจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนธันวาคมและถ่ายทอดทางช่อง CBS
‘ผมไม่ได้ยืนยัน แต่คิดว่าจะประสบความสำเร็จ’ เขากล่าวพร้อมเล่นตลกว่าเขาเองก็อยากได้รางวัลแต่ ไม่เคยได้เลย
ในสมัยประธานาธิบดีครั้งแรกระหว่างปี 2017-2021 ทรัมป์เคยข้ามงานมอบรางวัลเคนเนดี เซ็นเตอร์ เนื่องจากศิลปินหลายคนที่ได้รับรางวัลวิพากษ์วิจารณ์เขา หรือแสดงความไม่ประสงค์จะเข้าร่วมงาน
ผลกระทบต่อวงการศิลปะ
หลังทรัมป์เข้ามาบริหารเคนเนดี เซ็นเตอร์ ศิลปินหลายคนตัดความสัมพันธ์กับสถาบันแห่งนี้ รวมถึงนักร้องโอเปร่า เรนี เฟลมมิง และนักดนตรี เบน โฟลด์ส ขณะที่นักแสดงตลก อิสซาเร ยกเลิกการแสดง ผู้จัดละครเวที Hamilton ตัดสินใจยกเลิกการแสดงที่วางแผนไว้ในปี 2026 โดยอ้างถึงการสิ้นสุด ‘ความเป็นกลาง’ ของศูนย์แห่งนี้
พร้อมกันนี้ สถาบันสมิธโซเนียน ซึ่งบริหารพิพิธภัณฑ์จำนวนมาก กำลังพิจารณาจดหมายจากทำเนียบขาวที่ประกาศการสอบสวนเนื้อหาเพื่อขจัด เรื่องเล่าที่แบ่งแยกหรือมีอคติทางการเมือง จากพิพิธภัณฑ์ต่างๆ
การปฏิรูปครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดระหว่างวิสัยทัศน์ทางการเมืองกับพันธกิจทางศิลปะ ซึ่งอาจกำหนดทิศทางใหม่ของสถาบันวัฒนธรรมชาติอเมริกันในยุคต่อไป