เหตุการณ์ที่สร้างความสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ต่อแวดวงบันเทิงและธุรกิจไทยเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2568 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจนำโดย พ.ต.อ.กริช วรทัต ผู้บังคับการกองปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หน่วยที่ 4 เข้าจับกุม นานา ไรบีนา หรือ ไรบีนา อินทชัย วัย 45 ปี นักแสดง ดีเจ และนักธุรกิจผู้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในข้อหาฉ้อโกงและกระทำผิดตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงิน หลังการสอบสวนพบว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับการระดมทุนลวงในลักษณะการฉ้อฉลแบบพอนซี (แชร์ลูกโซ่) ที่สร้างความเสียหายต่อผู้ลงทุนอย่างน้อย 17 รายรวมมูลค่าประมาณ 195 ล้านบาท การบุกจับกุมที่บ้านพักในย่านพระโขนงนำไปสู่การค้นและยึดทรัพย์สินจำนวนหนึ่งทั้งรถยนต์ MINI Cooper กระเป๋าและเครื่องประดับแบรนด์เนม ตุ๊กตาสะสม 11 ตัว เครื่องประดับราว 50 ชิ้น รวมถึงนาฬิกามูลค่ารวมแล้วประมาณ 10 ล้านบาทพร้อมทั้งมือถือ iPhone 7 ซึ่งตำรวจระบุว่าเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ใช้ติดต่อสื่อสารและอาจมีข้อมูลการทำธุรกรรมสำคัญต่อคดี
เส้นทางชีวิตของนานาเริ่มต้นจากการเป็นดีเจในช่วงต้นยุค 2000s จาก Hot Wave 91.5 FM และ Virgin Hitz ก่อนขยายบทบาทสู่พิธีกรและ VJ หลายรายการรวมถึงการเป็นนักแข่งรถในสนาม Thailand Super Series ตั้งแต่ปี 2550 การแต่งงานกับเวย์ (DABOYWAY) หรือ ปริญญา อินทชัย สมาชิกวงฮิปฮอป Thaitanium ผู้ถือสัญชาติไทย-อเมริกันยิ่งทำให้เธอมีภาพลักษณ์ของผู้มีฐานะมั่งคั่งและประสบความสำเร็จในหลายด้าน อีกทั้งบทบาทตัวแม่ของ “แก๊งนางฟ้า” ทำให้เธอเป็นที่ไว้วางใจในหมู่คนใกล้ชิดซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างเครือข่ายนักลงทุนจำนวนมากในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตามท่ามกลางกระแสข่าวใหญ่เรื่องการจับกุมครั้งนี้มีประเด็นหนึ่งที่ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวางคือข่าวลือเรื่องสถานะความสัมพันธ์ของนานาและเวย์ โดยก่อนหน้านี้มีรายงานจากเพื่อนสนิทบางคนที่กล่าวถึงข่าวลือว่าทั้งคู่ “หย่ากันตั้งแต่ปีก่อน” เพื่อเหตุผลด้านธุรกิจแต่ข้อมูลดังกล่าวยังไม่เคยได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ ขณะเดียวกันก็มีสื่ออีกหลายแห่งรายงานว่าแหล่งข่าวใกล้ชิดระบุว่าทั้งคู่ยังไม่ได้หย่ากันจริง ข่าวลือที่แพร่กระจายนั้นอาจคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงเพราะไม่มีหลักฐานจากศาลหรือคำให้สัมภาษณ์ยืนยันจากคู่สมรสทั้งสองฝ่าย ปัจจุบันสถานะความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงยังเป็นข้อมูลที่อยู่ในขั้นตรวจสอบและยังไม่สามารถสรุปได้ว่ามีการหย่าร้างเกิดขึ้นจริงหรือไม่
จากการสืบสวนของตำรวจพบว่าพฤติกรรมการฉ้อโกงของนานาเริ่มต้นราวเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 โดยเธอเริ่มขอกู้เงินจากเพื่อน คนสนิท และบุคคลในวงสังคมในจำนวน 5–10 ล้านบาทต่อครั้งพร้อมให้ข้อมูลว่าตนจะนำเงินไปต่อยอดในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง เธออ้างว่ามีคู่ค้าการเงินและผู้ปล่อยกู้รายใหญ่ที่สามารถปันผลดอกเบี้ยรายเดือน 4–7% ซึ่งสูงเกินกว่าที่กฎหมายไทยกำหนดไว้ที่ 15% ต่อปี แม้ในช่วงแรกผู้เสียหายบางรายจะได้รับดอกเบี้ยตรงตามกำหนดจนทำให้แผนการดูน่าเชื่อถือและดึงดูดให้มีการขยายเงินลงทุน แต่รูปแบบการหมุนเงินกลับสอดคล้องกับโครงสร้างการฉ้อฉลแบบพอนซี (แชร์ลูกโซ่) อย่างชัดเจนเพราะเงินที่นำมาจ่ายผลตอบแทนให้รายก่อนล้วนมาจากเงินที่รับมาจากรายใหม่ ไม่ได้มาจากรายได้หรือกำไรจากการลงทุนจริง
ตลอดสองปีโครงสร้างหนี้สะสมสูงสุดอาจแตะถึง 400 ล้านบาทจากรูปแบบอ้างการลงทุนหลายประเภท ทั้งการปล่อยกู้ส่วนบุคคล การซื้อขายหุ้นที่อ้างการร่วมมือกับนักเทรดชื่อดัง การลงทุนธุรกิจด้านกีฬาอย่างโครงการลีกบาสเกตบอล YBL ไปจนถึงโครงการอื่นที่ถูกทำให้ดูมีความน่าเชื่อถือ ทั้งหมดนี้อาศัยชื่อเสียง สถานะทางสังคมและความไว้วางใจจากกลุ่มเพื่อนและเครือข่ายส่วนตัวเป็นช่องทางดึงเงินทุนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การตรวจสอบเชิงลึกพบว่าธุรกิจหลายอย่างของนานาในอดีตมีปัญหาขาดสภาพคล่องและไม่ได้สร้างเงินสดจริงมากเท่ากำไรทางบัญชี ส่งผลให้เธอต้องใช้เงินลงทุนใหม่เพื่อหมุนจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งส่วนตัวและธุรกิจรวมถึงสินค้าฟุ่มเฟือยและทรัพย์สินมูลค่าสูงจนกระทั่งระบบหมุนเงินล้มลง
หลังการจับกุมนานาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและอ้างว่าไม่ทราบว่าการปล่อยกู้ในลักษณะดังกล่าวเป็นการกระทำผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตั้งข้อหาสองกระทงหลัก ได้แก่ ฉ้อโกงประชาชน และละเมิด พ.ร.ก.การกู้ยืมเงิน ซึ่งมีโทษจำคุก 5–10 ปีต่อฐานความผิด ทำให้คดีนี้เป็นหนึ่งในคดีอาชญากรรมเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดในรอบปี ในส่วนของเวย์ ไทยเทเนียมการไม่ปรากฏตัวของเขาขณะมีการบุกค้นบ้านทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจยืนยันว่าเขาถูกเชิญตัวไปสอบสวนแยกต่างหากตามขั้นตอนเพื่อพิจารณาว่ามีส่วนรู้เห็นกับโครงสร้างการเงินของนานาหรือไม่โดยยังไม่มีข้อมูลว่าพบความเชื่อมโยงที่เข้าข่ายความผิดทางกฎหมาย
คดีฉ้อโกงครั้งนี้สะท้อนปัญหาความเชื่อใจในสังคมระดับคนมีชื่อเสียง และชี้ให้เห็นถึงวิธีการที่บุคคลผู้มีชื่อเสียงสามารถใช้ภาพลักษณ์ ความสัมพันธ์ และความไว้วางใจเพื่อสร้างระบบลงทุนลวงจนมีผู้เสียหายจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่าการสืบสวนยังคงดำเนินต่อไปเพื่อขยายผลเกี่ยวกับผู้เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมถึงเส้นทางการเงินที่ยังไม่ถูกเปิดเผยทั้งหมดซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการนำไปสู่การยึดทรัพย์เพื่อคืนเงินผู้เสียหายและดำเนินคดีตามกฎหมายในลำดับต่อไป


