ช่วง 3-4 ปีหลังมานี้วงการเพลง K-POP มักจะมีประเด็นเกี่ยวกับศิลปินทำการฟ้องร้องค่ายเพลงต้นสังกัดและยืนกรานที่จะยุติสัญญาที่ไม่เป็นธรรม หากมองในมุมของกรณีที่เป็นข่าวใหญ่หลายๆ คนคงนึกถึงกรณีของวง Fifty Fifty และวง EXO-CBX รวมถึงวง NewJeans
เบื้องหน้าของวงการ K-POP ที่เต็มไปด้วยความสดใส การแข่งขันที่ดุเดือดในอุตสาหกรรมเพลงและความสำเร็จระดับโลก หากแต่เบื้องหลังนั้นพวกเขากำลังเผชิญกับบาดแผลลึกและการครุ่นคิดชั่งน้ำหนักอนาคตที่เรียกว่า ‘การแทรกแซงสัญญา’ (Tampering) ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าอาจสั่นคลอนรากฐานของระบบอุตสาหกรรมทั้งหมด
‘Tampering’ คืออะไร
ในบริบทของ K-POP คำว่า Tampering หมายถึงการติดต่อศิลปินที่ยังอยู่ภายใต้สัญญาอย่างไม่เป็นทางการหรือไม่ได้รับอนุญาตจากต้นสังกัด โดยมักเป็นการทาบทามจากโปรดิวเซอร์หรือค่ายคู่แข่งเพื่อดึงศิลปินไปร่วมงานหรือให้ย้ายค่ายก่อนหมดสัญญา
ในอดีตปัญหาเช่นนี้มักถูกปิดเงียบหรือเจรจายุติกันหลังฉาก แต่ในยุคที่ K-POP ต้องใช้เงินลงทุนระดับพันล้านวอนในการสร้างศิลปินกลุ่มหนึ่งก่อนที่จะได้รับผลตอบแทนมหาศาลจากความนิยมทั่วโลก การปล่อยให้เรื่องแบบนี้ผ่านไปอย่างเงียบๆ จึงแทบเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป
ทำไม ‘Tampering’ ถึงเป็นเรื่องใหญ่
สมาคมดนตรีห้าแห่งในเกาหลีใต้แถลงร่วมกันเมื่อต้นปีว่า “การเติบโตอย่างยั่งยืนของ K-POP ต้องเริ่มจากการเคารพสัญญา ไม่มีใครควรมีสิทธิ์ประกาศยกเลิกสัญญาเองก่อนที่ศาลจะตัดสิน”
การสร้างไอดอลกลุ่มหนึ่งต้องใช้เงินลงทุนตั้งแต่พันล้านถึงกว่าหมื่นล้านวอนโดยไม่มีหลักประกันความสำเร็จ หากศิลปินถูกดึงตัวไปก่อนที่ค่ายจะคืนทุนได้จะทำให้โมเดลธุรกิจทั้งระบบล่มสลาย
เจ้าหน้าที่จากค่ายหนึ่งกล่าวว่า “ถ้าศิลปินสามารถทำลายสัญญาได้ตามอำเภอใจแล้วใครจะกล้าลงทุนหมื่นล้านวอนเพื่อสร้างวงใหม่? เพื่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรม K-POP การแทรกแซงสัญญาต้องไม่ถูกมองข้ามและผู้ที่ละเมิดต้องรับผิดตามกฎหมาย”
กรณีตัวอย่าง:

Fifty Fifty จุดเริ่มต้นของความปั่นป่วน
Fifty Fifty วงเกิร์ลกรุ๊ปที่แจ้งเกิดในระดับโลกจากเพลง ‘Cupid’ เมื่อปี 2023 คือคดีที่ถูกพูดถึงมากที่สุดหลังจากที่สมาชิกทั้งสี่ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อระงับสัญญากับต้นสังกัด ATTRAKT ในเดือนมิถุนายนปี 2023
ค่าย ATTRAKT ตอบโต้ด้วยการเปิดเผยว่ามีบุคคลภายนอกพยายามติดต่อและชักชวนสมาชิกวงให้ย้ายค่ายซึ่งหนึ่งในนั้นคือ อันซองอิล (Ahn Sungil) ซีอีโอของ The Givers ผู้อยู่เบื้องหลังเพลงเมกะฮิตของพวกเธอ
ศาลกลางกรุงโซลตัดสินให้ยกคำร้องของสมาชิกโดยระบุว่าไม่พบหลักฐานว่าค่ายละเมิดสัญญาหรือดูแลศิลปินอย่างไม่เหมาะสม ต่อมา คีนา (Keena) ได้ถอนอุทธรณ์และกลับมาร่วมงานกับทาง ATTRAKT ส่วนสมาชิกที่เหลืออีกสามคนถูกยกเลิกสัญญาและค่ายได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายกว่า 13,000 ล้านวอน (ราว 9.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 300 ล้านบาท) รวมถึงยื่นฟ้องทางอาญาในข้อหายักยอกและปลอมแปลงเอกสารต่ออันซองอิลด้วย
ในปี 2024 สมาชิกที่เหลือทั้งสามเซ็นสัญญากับค่าย Massive E&C และเปิดตัวอีกครั้งในชื่อใหม่ว่า Ablume ก่อนจะมีรายงานในปีนี้ว่าพวกเธอกลับมาร่วมงานกับอันซองอิลอีกครั้งในการทำเพลงชุดใหม่

EXO-CBX VS. SM Entertainment
อีกหนึ่งคดีใหญ่คือกรณีของ เฉิน (Chen), แบคฮยอน (Baekhyun) และ ซิ่วหมิน (Xiumin) หรือที่รู้จักกันในนาม EXO-CBX หนึ่งในยูนิตย่อยของวง EXO ทั้งสามได้ประกาศยกเลิกสัญญากับ SM Entertainment ในปี 2023 โดยอ้างถึงการจัดการรายได้ที่ไม่โปร่งใสและการขยายสัญญาอย่างไม่เป็นธรรม
ต่อมาแบคฮยอนเปิดค่ายอิสระชื่อว่า INB100 ซึ่งเปิดตัวได้ไม่นานก็กลายเป็นบริษัทย่อยของบริษัท One Hundred ที่ร่วมก่อตั้งโดยนักร้องชื่อดัง MC Mong และนักธุรกิจ ชา กาวอน (Cha Gawon) ซึ่งทั้งคู่เคยถูก SM Entertainment กล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังความขัดแย้งของ EXO-CBX และเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดข้อสงสัยเรื่อง Tampering อีกครั้ง
ทาง SM Entertainment ได้แถลงว่า “MC Mong และ ชา กาวอน ได้พยายามติดต่อศิลปินที่ยังอยู่ภายใต้สัญญาอย่างต่อเนื่องและกรณีของ EXO-CBX เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความพยายามดังกล่าวเท่านั้น” พร้อมย้ำว่าแม้จะอนุญาตให้สมาชิกทำกิจกรรมอิสระได้แต่ INB100 ก็ไม่ได้เป็นบริษัทอิสระจริงอย่างที่ประกาศไว้ อย่างไรก็ตามทั้งสามยังคงมีสัญญากับ SM Entertainment สำหรับกิจกรรมในนามวง EXO และกำลังเตรียมคัมแบ็กเต็มวงภายในปีนี้

NewJeans คดีล่าสุดที่สะเทือนทั้งอุตสาหกรรม
กรณีล่าสุดและร้อนแรงที่สุดคือความขัดแย้งระหว่าง NewJeans กับค่าย ADOR ภายใต้ HYBE ที่เริ่มต้นในช่วงปลายปี 2024
ทีมกฎหมายของ NewJeans ส่งหนังสือแจ้งขอยกเลิกสัญญาโดยอ้างว่ามีการละเมิดเงื่อนไขสัญญาและยืนยันว่าการปลดอดีตซีอีโอ มินฮีจิน (Min Hee-jin) ได้ทำลายความไว้วางใจระหว่างศิลปินกับค่ายลง
ทาง ADOR ตอบโต้ด้วยการยื่นฟ้องและขอคำสั่งศาลให้ระงับกิจกรรมของวงจนกว่าจะมีคำพิพากษาซึ่งศาลได้มีคำสั่งบางส่วนให้ NewJeans หยุดกิจกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาตจากค่ายโดยคดีนี้จะมีคำตัดสินในวันที่ 30 ตุลาคม 2025 ที่จะถึงนี้
กรณี Tampering ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีมานี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของศิลปินหรือค่ายใดค่ายหนึ่งแต่ยังสะท้อนถึงรอยร้าวในระบบอุตสาหกรรม K-POP ที่ต้องการการปฏิรูปอย่างจริงจังหากวงการนี้ยังต้องการยืนอยู่บนเวทีโลกอย่างมั่นคงต่อไป



