เหตุการณ์สั่นสะเทือนวงการพระสงฆ์ ที่มีการเอาผิด พระชั้นผู้ใหญ่ ไม่ใช่เป็นเรื่องเก่าที่ไม่เคยมี ในกรุงรัตนโกสินทร์ช่วงรัชกาลที่ 2-3 พระสงฆ์ มีการปฏิบัติที่ไม่เรียบร้อยผิดพลาดทางวินัยมากมาย
รัชกาลที่ 2 ปี 2358 มีโจทก์ฟ้องพระราชาคณะว่า เสพเมถุน เป็นเหตุให้สึกพระราชาคณะถึงสามรูป
"ครั้นมาถึงเดือนสิบสองมีโจทฟ้องพระพุทธโฆษาจาริย์ บุญสี วัดมหาธาตุ พระญาณสมโพธิ เตม วัดนาคกลาง พระมงคลเทพ จีน วัดน่าพระเมรุกรุงเก่า ว่ากระทำเมถุนปราชิกจนมีบุตรเติบโตหลายคน โปรดให้กรมหมื่นรักษรณเรศร กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ กรมหมื่นสุรินทรักษ์เปนตระลาการชำรพิจรรณาได้ความจริง ให้ลงพระราชอาญาส่งไปจำไว้ ณ คุก"

วงการสงฆ์ในเวลานั้นคล้ายๆในเวลานี้อาจจะเรียกได้ว่าหนักกว่า เรียกได้เพราะมีทั้งทำอนาจาร มีความประพฤติไม่ดีไม่งาม ไม่เหมาะสมแก่บรรพชิต และผิดขั้นปาราชิก ทำให้รัชกาลที่สามในเวลานั้นได้ชำระคดีเรื่องร้องเรียนที่เกิดขึ้นกับพระสงฆ์ถึง 500 รูป และให้สึกเอามาเป็นฆราวาส
เหตุการณ์ตอนรัชกาลที่ 3 พระราชพงศาวดาร ปี 2385 กรุงรัตนโกสินทร์ บันทึกว่า “เกิดชำระความพระสงฆ์ ที่ประพฤติอนาจารมิควร เมื่อเดือน 1 เดือน 2 เดือน 3 ได้ชำระสึกเสียมาก ประมาณ 500 เศษ ที่หนีไปก็มาก พระราชาคณะเป็นปาราชิกก็หลายรูป”
ความประพฤติของพระตอนนั้น เป็นสิ่งที่รัชกาลที่ 4 เมื่อยังทรงผนวช ถึงกับเสด็จไปอยู่ที่วัดราชาธิวาสและตั้งนิกายธรรมยุต โดยเอาหลักปฏิบัติมาจากพระภิกษุที่ดูมีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย
จะเห็นได้ว่าการที่พระราชาหรือเจ้าคุณมีความประพฤติเสื่อมเสีย จนขณะจับสึกโดยที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแน่นอนล่ะ มันไม่ควรจะเกิดขึ้นเลยจะดีกว่าไหม

มุมมองอย่างหนึ่ง ของพระพุทธศาสนาที่ทำให้เกิดการกระทำความผิดครั้งแล้วครั้งเล่า ในส่วนคนทำผิดนั้นไม่มีความหรือเกรงกลัวต่อบาป ไม่ได้บวชโดยมีจุดประสงค์ที่จะต้องการปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นแต่บวชเพื่อผลประโยชน์และการดำรงชีพคล้ายๆกับตอนนี้แหละ
อีกมุมมองหนึ่งสองคนในศาสนาคือเห็นว่าอภัยทานเป็นสิ่งที่เพิ่งให้และเป็นการให้ที่สูงสุดแต่มันใช้ไม่ได้กับคนเลว ไม่เป็นไรผิดก็ สึก จบ ศาสนาไม่เสื่อม แต่ลืมคิดไปว่า ศรัทธา จะเสื่อม มุมมองของคนที่ไม่เข้าใจพระพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้ จะเข้าใจศาสนาผิดเพี้ยนไป
การออกกฎหมายเพื่อกันเรื่องมัวหมองที่สั่นคลอนพระศาสนาและศรัทธาของศาสนิกชน จึงเป็นของจำเป็น เพื่อนให้คนไม่ละอายได้เกรงกลัวกับความผิด