วงการบันเทิงไทยกำลังจับตามองข้อพิพาทครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นระหว่าง ‘เบ็คกี้-รีเบคก้า อาร์มสตรอง’ นักแสดงไทย-อังกฤษผู้โด่งดังจากผลงานซีรีส์และกิจกรรมระดับนานาชาติกับบริษัท ‘IDOL FACTORY’ หลังเธอออกมาเปิดเผยว่าไม่ได้รับค่าตัวตามสัญญามาตลอดทั้งปี 2025 จนยอดเงินค้างชำระสะสมสูงถึง 20 ล้านบาท
โดยยอดเงินค้างชำระนี้เป็นรายได้ของเธอเพียงคนเดียวไม่รวมศิลปินร่วมงานคนอื่นซึ่งทำให้เรื่องนี้กลายเป็นภาพสะท้อนปัญหาการจัดการทางการเงินในค่ายที่อาจไปไกลกว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้ ด้านเบ็คกี้ยอมรับว่าเมื่อทวงถามก็มักจะได้รับคำตอบว่า “จะจ่ายให้ทีหลัง” ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปคำสัญญากลับไม่เคยเกิดขึ้นจริงจนเธอต้องตัดสินใจใช้ทีมทนายเข้ามาจัดการ และออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ต่อสาธารณชนเพราะไม่สามารถปล่อยให้ปัญหานี้ยืดเยื้ออีกต่อไป
สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งขึ้นเมื่อช่วงเวลาเดียวกัน เซ้นต์-ศุภพงษ์ อุดมแก้วกาญจนา ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ IDOL FACTORY ประกาศลาออกจากตำแหน่งอย่างกะทันหันพร้อมโอนหุ้นทั้งหมดคืนบริษัทฯ เขาระบุว่าบริษัทฯ ไม่ได้ดำเนินไปตามอุดมการณ์ที่มีมาแต่เดิมอย่างที่ตั้งใจไว้และยอมรับว่า “ไว้วางใจผิดคนมานาน 9 ปี” ซึ่งทำให้บริษัทฯ มีปัญหาการบริหารจนมาถึงจุดนี้
การประกาศลาออกของเซ้นต์ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามว่ามีความเกี่ยวโยงกับเรื่องค่าตัวค้างชำระของศิลปินหรือไม่แม้เขาจะไม่ได้อธิบายโดยตรง การมอบตำแหน่งประธานกรรมการให้ ‘คเชนทร์ สดโพธิ์’ เข้ามารับผิดชอบภาพรวมของบริษัทฯ ทำให้เกิดความหวังว่าจะมีการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมแต่สถานการณ์ยังคงคลุมเครือว่าการเปลี่ยนผู้บริหารจะทำให้วิกฤติด้านสภาพคล่องและข้อพิพาททางกฎหมายคลี่คลาย้ลงจริงหรือไม่
ผลกระทบจากกรณีนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องค่าตัวของเบ็คกี้เท่านั้นแต่ยังลามไปถึงความต่อเนื่องของโปรเจ็กต์ ‘4 Elements’ ซีรีส์ GL เรื่องยิ่งใหญ่ที่เป็นความร่วมมือของหลายบริษัทโดยมีฟรีน–เบ็คกี้แสดงนำในตอน ‘The Air’ ปัญหาสัญญากลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นเมื่อพบว่าสัญญาโครงการนี้ถูกทำขึ้นโดยบริษัทฯ ไม่ใช่ศิลปินโดยตรง เมื่อเบ็คกี้ยุติสัญญากับค่ายช่องว่างทางกฎหมายและลำดับความรับผิดชอบจึงเกิดขึ้นทันที แม้เธอแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าต้องการทำงานให้จบตามที่ต้องรับผิดชอบแต่ทุกฝ่ายยังคงรอความชัดเจนด้านเอกสารและการจัดการสิทธิ์ทำให้กระบวนการผลิตล่าช้าส่งผลต่อทั้งผู้สร้าง ทีมงาน นักแสดงคนอื่น และแฟนซีรีส์ที่กำลังรอคอยชมผลงาน
ในด้านการเจรจาเพื่อยุติสัญญาทีมกฎหมายของเบ็คกี้ได้เสนอเงื่อนไขที่เป็นไปได้โดยขอให้บริษัทฯ ชำระยอดคงค้างอย่างน้อยครึ่งหนึ่งคือราว 10 ล้านบาทในเบื้องต้นและทยอยเจรจายอดที่เหลือต่อภายหลัง แต่แม้บริษัทฯ จะยอมรับว่ามีหนี้สินจริงโดยอ้างว่าความสามารถในการชำระขึ้นอยู่กับสภาพคล่องแต่ได้แจ้งว่าจะพยายามชำระครึ่งแรกภายในสิ้นปี 2025 นี้ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่เคยใช้มาหลายครั้งก่อนหน้านี้และไม่เคยเป็นไปตามกำหนดทำให้ฝ่ายศิลปินไม่อาจเชื่อมั่นได้เต็มที่ว่า IDOL FACTORY จะสามารถจัดการภาระหนี้ได้ตามเวลาที่ตกลงกันไว้
กรณีนี้กลายเป็นหนึ่งในประเด็นใหญ่ของปีที่สะท้อนช่องโหว่สำคัญในระบบคุ้มครองศิลปินของไทย การที่นักแสดงซึ่งมีผลงานโดดเด่นและได้รับความนิยมระดับโลกต้องออกมาเปิดเผยปัญหาค่าตัวที่ควรได้รับตามสัญญาชี้ให้เห็นว่าการคุ้มครองสิทธิ การจัดการบัญชี การบริหารสัญญา และมาตรฐานความโปร่งใสยังคงต้องพัฒนาให้ทันกับการเติบโตของอุตสาหกรรมบันเทิงไทยที่กำลังเข้าสู่เวทีนานาชาติมากขึ้นเรื่อยๆ
วิกฤติครั้งนี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่กดดันให้บรรดาบริษัทในวงการต้องปรับปรุงระบบสัญญาและการจ่ายค่าตอบแทนให้ชัดเจนมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นบทพิสูจน์สำคัญว่าภายใต้การนำของผู้บริหารคนใหม่ของ IDOL FACTORY นี้จะจัดการฟื้นความเชื่อมั่นและชำระความรับผิดชอบต่อศิลปินได้หรือไม่
ส่วนเบ็คกี้และศิลปินคนอื่นที่อาจได้รับผลกระทบจากโครงสร้างเดิมจำเป็นต้องได้รับการเยียวยาและความยุติธรรมอย่างจริงจัง เพื่อให้ระบบวงการบันเทิงไทยเติบโตอย่างมั่นคงและปลอดภัยสำหรับคนทำงานทุกฝ่ายต่อไป


