วรุต รุ่งขำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล (YLG) เตือนนักลงทุนระวังความผันผวนของราคาทองคำ หลังราคาปรับขึ้นต่อเนื่อง 9 สัปดาห์ พร้อมชี้ว่า แม้ภาพรวมระยะกลาง–ยาวยังเป็นขาขึ้น แต่ระยะสั้นต้องระวังแรงขาย หลังพบสัญญาณความผันผวนผิดปกติในตลาด
สัญญาณเตือนจาก “วันศุกร์ผันผวน”: ราคาทองเหวี่ยงสูงสุด $192
วรุตเปิดเผยว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา ตลาดทองคำทั่วโลกมีความผันผวนสูงผิดปกติ โดยช่วงแกว่งตัวรายวันอยู่ที่ประมาณ 192 ดอลลาร์ต่อออนซ์
“โดยทั่วไป ความผันผวนรายวันของทองคำจะอยู่ราว 100–120 ดอลลาร์ แต่ครั้งนี้แรงซื้อ–แรงขายสูงมาก และสุดท้ายแรงขายเป็นฝ่ายชนะ ทำให้ราคาทองคำปรับตัวลงประมาณ 76 ดอลลาร์ต่อออนซ์”
วรุตกล่าวว่า แม้ราคาทองจะไม่ปรับลงแรง แต่การปิดตลาดใกล้ระดับต่ำสุดของสัปดาห์สะท้อนว่าแรงขายยังคงมีน้ำหนักสูง และเป็นสัญญาณที่นักลงทุนควรจับตาใกล้ชิด
ภาพรวมยังเป็นบวก แต่ระยะสั้นต้องระวังแรงขาย
ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาทองคำยังสามารถรีบาวด์กลับมาบวกได้ราว 233 ดอลลาร์ต่อออนซ์ วรุตมองว่า ภาพรวมระยะกลางยังไม่เสียทรงมากนัก แต่ในระยะสั้นเริ่มเห็นแรงขายเข้ามากดดันตลาด
ทองคำยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น แต่หลังจากขึ้นต่อเนื่อง 9 สัปดาห์ติด นักลงทุนควรระวังแรงขายทำกำไร โดยเฉพาะเมื่อราคาแกว่งตัวแรงเกินปกติ
— วรุตกล่าว
ไม่ใช่ฟองสบู่: กระแสรายย่อยสะท้อนแรงเชื่อมั่น
เมื่อถูกถามถึงกระแส “รายย่อยแห่ซื้อทอง” ทั้งในไทย เอเชีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ วรุตยืนยันว่า “ยังไม่ใช่ฟองสบู่”
ราคาทองคำที่ปรับขึ้นต่อเนื่องยังมีปัจจัยพื้นฐานรองรับ เช่น ดอกเบี้ยขาลง ภาวะเศรษฐกิจเปราะบาง และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ปีที่แล้วทองคำให้ผลตอบแทนกว่า 27% และปีนี้ราว 61.5% จึงไม่น่าแปลกที่นักลงทุนกลับมาสนใจอีกครั้ง
วรุตกล่าวเสริมว่า การปรับขึ้นที่มีเหตุผลเชิงพื้นฐานสนับสนุน ไม่ถือเป็นภาวะเก็งกำไรเกินจริง
4 ปัจจัยหลักหนุนทองคำระยะต่อไป
วรุตวิเคราะห์ว่า ราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนจาก 4 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่
1. ดอกเบี้ยโลกยังเป็นขาลง – เฟดคาดว่าจะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ และอาจมีประธานเฟดคนใหม่ที่มีแนวโน้ม “สายผ่อนคลาย” (Dovish) มากขึ้นในปีหน้า
2. ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ – ทั้งอิสราเอล–ฮามาส และรัสเซีย–ยูเครน ยังคงไร้ข้อสรุป แม้จะมีการเจรจายุติการสู้รบเป็นระยะ
3. สงครามการค้าสหรัฐ–จีน – แม้ดูเหมือนผ่อนคลายชั่วคราว แต่ท่าทีของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ยังเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ทำให้ตลาดทองยังมีโอกาสปรับขึ้นจากความไม่แน่นอน
4. วิกฤตภาคธนาคารสหรัฐฯ–จีน – ปัญหาการผิดนัดชำระหนี้และการล้มละลายของบริษัทขนาดใหญ่ในภาคการเงินอาจสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังไม่จบ
แนะปัจจัยที่ต้องจับตาในสัปดาห์นี้
• การประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีน – หากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม จะเป็นแรงหนุนต่อทองคำ
• Government Shutdown สหรัฐฯ – หากยืดเยื้อ จะช่วยประคองราคาทองคำ
• ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ – หากออกมาย่ำแย่ จะเพิ่มแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
จับตาแนวรับ–แนวต้านสำคัญ
วรุตวิเคราะห์ทางเทคนิคว่า ราคาทองคำลงมาทดสอบจุดต่ำสุดที่ $4,187 ต่อออนซ์ ก่อนดีดกลับขึ้นไปที่ $4,272
การรีบาวด์ครั้งนี้เป็นลักษณะ Technical Rebound ระยะสั้น เหมือนลูกปิงปองกระเด้งหลังตกพื้น หากราคายังไม่ผ่านแนวต้าน $4,281 อาจเห็นแรงขายต่อเนื่อง
แนวรับสำคัญ: $4,187 (ทองไทยประมาณ 65,000–65,400 บาท)
แนวต้าน: $4,280–$4,318 (ทองไทยประมาณ 66,500–67,100 บาท)
กลยุทธ์ลงทุน: “ระวังแต่ไม่ตื่นตระหนก”
• นักลงทุนที่รอซื้อ: จับตาแนวรับ $4,187 หากไม่หลุดอาจทยอยสะสม แต่ถ้าหลุด ให้รอที่โซน $4,058–4,110
• ผู้ที่ถือทองอยู่: หากราคารีบาวด์ไม่ผ่านแนวต้าน ควรทยอยขายเพื่อลดความเสี่ยง
• นักลงทุนระยะยาว: เมื่อราคาพักฐานครบและแรงขายลดลง ถือเป็นจังหวะดีในการเข้าซื้อเพิ่ม
“ทองคำพุ่งต่อเนื่อง 9 สัปดาห์ การปรับฐานถือเป็นเรื่องปกติ สิ่งสำคัญคือการรู้จุดเข้า–จุดออก และบริหารความเสี่ยงให้เหมาะสม”
มุมมองระยะยาว: ยังมีลุ้นทำ “สถิติใหม่”
วรุตทิ้งท้ายว่า ปัจจัยพื้นฐานยังคงหนุนทองคำในระยะกลาง–ยาว โดยเฉพาะเมื่อค่าเงินบาทอ่อนค่า
“หากทองคำโลกรีบาวด์ขึ้นอีกระลอก มีโอกาสเห็นราคาทองคำไทยกลับไปใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้อีกครั้ง”
สรุป:
• ทองคำยังเป็นขาขึ้น แต่ระยะสั้นควรระวังแรงขาย
• แนวรับสำคัญอยู่ที่ $4,187
• ความผันผวนสูงสะท้อนแรงซื้อ–ขายในตลาดระดับสูง
• ปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง หนุนราคาทองในระยะยาว


