เจมีสัน กรีร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ยืนยันว่าอัตราภาษีนำเข้าใหม่ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศใช้ ถูกกำหนดไว้ค่อนข้างแน่นอนแล้ว โดยไม่มีพื้นที่สำหรับการเจรจาในทันที
ในรายการสัมภาษณ์ที่บันทึกเทปล่วงหน้าและออกอากาศทางรายการ Face the Nation ของสถานีโทรทัศน์ CBS เมื่อวันอาทิตย์ กรีร์กล่าวว่า ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษี
อัตราภาษีเหล่านี้หลายรายการถูกกำหนดตามข้อตกลง บางข้อตกลงมีการประกาศแล้ว บางข้อยังไม่ประกาศ ส่วนอื่นๆ ขึ้นอยู่กับระดับการขาดดุลหรือเกินดุลการค้าที่เรามีกับประเทศนั้นๆ กรีร์กล่าว
อัตราภาษีครอบคลุมหลายประเทศ
ทรัมป์ผู้ใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือแสดงอำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้กำหนดอัตราภาษีสำหรับหลายสิบประเทศรวมถึงสหภาพยุโรปที่ระดับระหว่าง 10 ถึง 41 เปอร์เซ็นต์ โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 7 สิงหาคม ซึ่งเป็นกำหนดเวลาใหม่ที่เลื่อนจากวันที่ 1 สิงหาคมตามที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้
บราซิลเผชิญภาษี 50% จากปัจจัยการเมือง
ในบรรดาประเทศที่เผชิญภาษีนำเข้าระดับสูง บราซิลซึ่งเป็นเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอเมริกาใต้ถูกเรียกเก็บภาษี 50 เปอร์เซ็นต์สำหรับการส่งออกไปยังสหรัฐฯ แม้จะมีการยกเว้นสำหรับสินค้าสำคัญอย่างเครื่องบินและน้ำส้ม
ทรัมป์ยอมรับอย่างเปิดเผยว่ากำลังลงโทษบราซิลสำหรับการดำเนินคดีกับฌาอีร์ โบลโซนารู พันธมิตรทางการเมืองของเขา ซึ่งเป็นอดีตประธานาธิบดีที่ถูกกล่าวหาว่าวางแผนรัฐประหารเพื่อยึดอำนาจ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เรียกคดีนี้ว่า ‘การล่าแม่มด’
กรีร์ปกป้องการใช้ภาษีเพื่อวัตถุประสงค์ทางภูมิรัฐศาสตร์ว่า ประธานาธิบดีสหรัฐมองบราซิลเหมือนประเทศอื่นๆ ที่ใช้กฎหมายและประชาธิปไตยในทางที่ผิด เป็นเรื่องปกติที่จะใช้เครื่องมือเหล่านี้สำหรับประเด็นภูมิรัฐศาสตร์
ไม่มีพื้นที่เปลี่ยนแปลงแม้ตลาดตอบสนองลบ
เควิน แฮสเซตต์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจทำเนียบขาว กล่าวสอดคล้องกับกรีร์ว่าแม้คาดว่าจะมีการเจรจาต่อเนื่องในสัปดาห์หน้ากับคู่ค้าบางประเทศ แต่อัตราภาษีส่วนใหญ่ค่อนข้างถูกล็อกไว้แล้ว
เมื่อถูกถามในรายการ Meet the Press ว่าทรัมป์จะเปลี่ยนอัตราภาษีหรือไม่หากตลาดการเงินมีปฏิกิริยาเชิงลบ แฮสเซตต์ตอบว่า ‘ผมจะตัดความเป็นไปได้นั้นออก เพราะนี่คือข้อตกลงสุดท้าย’
ขณะเดียวกันมีการยื่นคำร้องทางกฎหมายต่อต้านภาษีบางส่วนของทรัมป์ โดยอ้างว่าเขาใช้อำนาจเกินขอบเขต คณะผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันพฤหัสบดีแสดงท่าทีสงสัยต่อข้อโต้แย้งของรัฐบาล แม้ว่าคดีนี้อาจต้องตัดสินที่ศาลฎีกาในที่สุด