ไทยขึ้นศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์ เป็นไปได้ แต่ไม่ง่าย

17 ธ.ค. 2568 - 05:22

  • การลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์มูลค่า 5.21 แสนล้านบาทจาก 28 โครงการใน 6 เดือนแรกปี 2025

  • ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์คาดการณ์เติบโต 17.48% ต่อปี ถึงปี 2030

  • แค่เติบโตเร็ว มีการลงทุนยังไม่พอ ถ้าจะเป็นศูนย์กลางต้องมีกลยุทธ์

ไทยขึ้นศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์ เป็นไปได้ แต่ไม่ง่าย


วิเคราะห์โอกาสประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง Data Center

พิจาณณาจากจุดที่ตั้ง โครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี ความพร้อมที่มีโอกาสสูง แต่ไม่ง่าย ต้องมีกลยุทธ์เชิงนโยบาย โครงสร้างพื้นฐานพลังงาน และจัดการความเสี่ยงเชิงภูมิศาสตร์ให้ดีเพื่อดึงนักลงทุน hyperscalers มากกว่านี้  การจะให้ผู้ให้บริการคลาวด์ระดับโลกเข้ามาตั้งศูนย์ใหญ่ในประเทศ ต้องมีจุดแข็งที่ดึงดูมากพอควร

ตลาดเติบโตเร็วจึงมีโอกาส

ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ของประเทศไทย คาดว่าจะมีมูลค่า 1.89 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025  มีแนวโน้มที่จะขยายตัวด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 17.48% และมีมูลค่า 4.23 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030  ระหว่างเดือนมกราคมถึงกันยายน 2025 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รายงานการขอส่งเสริมการลงทุนรวมมูลค่า 1.37 ล้านล้านบาท (ประมาณ 420 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 94% เมื่อเทียบกับปีก่อน ดาต้าเซ็นเตอร์และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลมีส่วนแบ่งที่สำคัญและมากกว่าสัดส่วนของการไหลเข้าของเงินทุนการอนุมัติโครงการใหม่และการกระจายตัวทางภูมิศาสตร์

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 มีการอนุมัติโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ 28 โครงการ โดย 6 โครงการได้รับการอนุมัติในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนเพียงลำพัง ด้วยมูลค่ารวม 1,154 ล้านบาท (ประมาณ 35.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และความจุ IT load รวมประมาณ 740 เมกะวัตต์

เหตุผลของความเป็นไปได้

จากตัวเลขส่งเสริมการลงทุน แสดงถึงความตั้งใจในการลงทุนในประเทศ  โครงการขนาดใหญ่และการอนุมัติลงทุนจาก BOI/ภาครัฐ จำนวนหลายโครงการ มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์และข่าวการลงทุนจากบริษัทใหญ่ (Google, AWS, Microsoft, TikTok/ByteDance) สะท้อนว่าตลาดถูกมองว่าเป็นศักยภาพสูง รวมกับการมีตลาดเติบโตเร็ว  ขนาดตลาดและคาดการณ์การเติบโตจากหลายรายงานระบุการเติบโตในระดับสองหลักต่อปี ทำให้ความต้องการพื้นที่+พลังงาน+เครือข่ายเพิ่มขึ้น ปัจจัยบวกถัดมาคือ ทำเลที่ตั้งและการเชื่อมต่อดี  ประเทศไทยมีจุดขึ้นลงของเคเบิลใต้น้ำหลายแห่ง (หลาย landing stations) ทำให้เชื่อมต่อระหว่างภูมิภาคและอินเทอร์คอนเน็กชันได้ดี  ข้อนี้สำคัญสำหรับ latency และ redundancy. เมื่อรวมกับศักยภาพพลังงานหมุนเวียน — ประเทศมีแผนขยายพลังงานสะอาด/solar และเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ลูกค้าระดับโลกคำนึงถึง (ESG & carbon).  

ข้อจำกัดและความเสี่ยงที่ต้องก้าวข้าม

ประเทศไทยยังมีต้นทุนไฟฟ้าและโครงข่าย  ราคาพลังงานสำหรับภาคพาณิชย์ยังเป็นปัจจัยต้นทุนสำคัญ แม้รัฐบาลประกาศมาตรการลด/ปรับเพื่อดึงลงทุน แต่ต้องติดตามการปฏิบัติจริง มีความเสี่ยงน้ำท่วมและภูมิอากาศ — พื้นที่เมืองใหญ่ (เช่น กทม.) และพื้นที่ต่ำมีความเสี่ยงน้ำท่วมในระยะยาว ซึ่งเป็นความเสี่ยงเชิงปฏิบัติการสำหรับ DC หากไม่ออกแบบโยกย้ายหรือป้องกันให้ดี. พื้นที่เหมาะสมและที่ดิน ศูนย์ข้อมูลต้องที่ดินซัพพลายเพียงพอและเชิงโลจิสติกส์ดี (ไฟ น้ำ ระบบระบายความร้อน) บางทำเลมีการแข่งขันสูงและราคาที่ดินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้อสำคัญยังต้องการทรัพยากรบุคคลเฉพาะทาง  วิศวกร DC, operators, cloud architects ยังเป็นทักษะที่ต้องพัฒนาเพิ่มในประเทศเพื่อรองรับการขยายตัวแบบ hyperscale.

ทำยังไงเพื่อเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง 

กลยุทธ์เพื่อให้เป็นศูนย์กลางได้จริง (Recommendations) กำหนดนโยบายเชิงจูงใจแบบมีเงื่อนไข  BOI + รัฐบาลให้พลังงานพิเศษ (PPA แบบกลุ่ม ส่วนลด), ภาษี, และเร่งใบอนุญาตโดยมีเงื่อนไขด้านความยั่งยืนและการกระจายความเสี่ยง (ต้องมี DR site ข้ามภูมิภาค). (หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง: BOI, กกท., กฟผ. EGAT) เลือกทำเลเชิงกลยุทธ์ ทำ data center cluster ในพื้นที่ความเสี่ยงต่ำ (สูง น้ำท่วมยาก) แต่ยังใกล้ landing stations และใยแก้วนำแสง ผสมการกระจาย (NE, N, S) เพื่อ redundancy ของภูมิประเทศและ cable routes อย่าลืมผูก PPA พลังงานหมุนเวียน & storage ทำสัญญาไฟฟ้าระยะยาวกับโซลาร์+แบตเตอรี่ ก๊าซสำรอง เพื่อความมั่นคงต้นทุนและลดคาร์บอน (ตอบโจทย์ลูกค้า hyperscaler) ควรเพิ่มการลงทุนใน workforce & standards  สนับสนุนหลักสูตรวิศวกรรม DC, certification, และสร้างศูนย์ทดสอบ ฝึกอบรมร่วมกับผู้ให้บริการสากล เตรียมการจัดการความเสี่ยงน้ำท่วม สภาพอากาศ ออกแบบระดับพื้นสูง ระบบระบายน้ำ เขื่อนกันน้ำ และแผน BCP DR ที่ทดสอบได้จริง ส่วนโปรโมชันตลาดระหว่างประเทศ  รัฐ+ภาคเอกชนร่วมกันทำ roadshow to hyperscalers เน้นข้อได้เปรียบเชื่อมต่อ, incentives, และกรณีศึกษาโครงการที่ได้รับ BOI

ความท้าทายทางพลังงาน

ดาต้าเซ็นเตอร์ในไทยสร้างความท้าทายด้านพลังงานทำ และมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เนื่องจากภาคนี้ต้องการไม่เพียงการเพิ่มขึ้นแบบเพิ่มหน่วยในการจ่ายไฟฟ้า แต่ต้องการพลังงานต่อเนื่อง เชื่อถือได้ และมีความจุสูงในปริมาณที่ไม่เคยมีมาก่อนเพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานเหล่านี้ ไทยได้ดำเนินการกรอบ Direct Power Purchase Agreement ที่ได้รับการอนุมัติจากสภานโยบายพลังงานแห่งชาติในเดือนมิถุนายน 2024 ซึ่งช่วยให้ดาต้าเซ็นเตอร์สามารถจัดหาพลังงานหมุนเวียนได้โดยตรงผ่าน Direct PPA ที่อำนวยความสะดวกโดย Third Party Access ผ่านระบบส่งไฟฟ้าแห่งชาติสำหรับความจุสูงสุด 2,000 เมกะวัตต์

มีโอกาสที่ต้องคว้าให้เร็ว 

ไทยมี พื้นฐานและโอกาสจริง ทั้งการเชื่อมต่อใต้ทะเลที่กระจาย, แผนพลังงานหมุนเวียน, และสัญญาณการลงทุนจากผู้เล่นระดับโลกคือเครื่องยืนยัน แต่ความสำเร็จต้องการการประสานเชิงนโยบาย (ลดต้นทุนไฟฟ้า/BOI), การบริหารความเสี่ยงภูมิศาสตร์ (น้ำท่วม), และการพัฒนากำลังคนเชิงเทคนิค เพื่อเปลี่ยนโอกาสเป็นศูนย์กลางที่มั่นคงของภูมิภาค.  

การเติบโตของดาต้าเซ็นเตอร์ในไทยไม่ใช่เพียงเรื่องของตัวเลขการลงทุน แต่เป็นการปฏิวัติวิธีที่ประเทศกำลังพัฒนาตำแหน่งตัวเองในเศรษฐกิจดิจิทัลโลก การมีอยู่ของ Google, Amazon และ Microsoft ในตลาดไทยมีแม่เหล็กที่ดึงดูดผู้ให้บริการเทคโนโลยีรายอื่นๆ สตาร์ทอัพ และบริษัทด้านนวัตกรรมมาสร้างการมีอยู่ในภูมิภาคนี้ สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือไทยไม่ได้เพียงแค่ดึงดูดการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน แต่กำลังสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์ซึ่งรวมถึงการพัฒนาทักษะ การวิจัยและพัฒนา และการถ่ายทอดเทคโนโลยี เมื่อมองไปข้างหน้า คำถามที่แท้จริงไม่ใช่ว่าไทยจะดึงดูดการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มเติมได้หรือไม่ แต่ประเทศจะสามารถเปลี่ยนการลงทุนเหล่านี้ให้กลายเป็นขีดความสามารถทางเทคโนโลยีระยะยาวที่จะทำให้ไทยยังคงแข่งขันได้ในโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้หรือไม่?

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์


ไทยเป็นศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์ เป็นไปได้แต่ไม่ง่าย