สภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย ยื่นหนังสือแสดงจุดยืนคัดค้านร่าง พ.ร.บ.คุมครองแรงงานใหม่ ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ และมีความเสี่ยงต้องปิดกิจการจากต้นทุนที่สูงขึ้น ส่งผลถึงการเลิกจ้างแรงงานด้วย
ประธานสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย นายสุปรีย์ ทองเพชร ได้ส่งหนังสือแสดงข้อคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของนายจรัส คุ้มไข่นํ้า ต่อประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....(นายจรัส คุ้มไข่นํ้า) เพื่อให้ข้อมูลผลกระทบที่ตามมา และแสดงจุดยืนขอคัดค้าน ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวโดยหนังสือมีรายละเอียดดังนี้
20 ตุลาคม 2568
เรื่อง ข้อคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของนายจรัส คุ้มไข่นํ้า
เรียน ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....(นายจรัส คุ้มไข่นํ้า)
อ้างถึง ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของนายจรัส คุ้มไข่นํ้า
สิ่งที่ส่งมาด้วย ความเห็นสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทยต่อ (ร่าง) พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
ตามที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 3 ครั้งที่ 25 (สมัยสามัญประจําปีครั้งที่หนึ่ง) เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่เสนอโดย นายจรัส คุ้มไข่นํ้า พรรคประชาชน และให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ขึ้นมาพิจารณาในรายละเอียดเป็นรายมาตรา ก่อนที่จะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาอีกครั้ง ภายในวันที่ 29 ตุลาคม 2568 นั้น
สภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทยขอแสดงความห่วงใยอย่างยิ่งต่อร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเสนอให้มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการจ้างงานที่สําคัญหลายประการ แม้ว่าจะมีเจตนารมณ์ที่ดีในการยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงาน แต่การเปลี่ยนแปลงที่เสนอนั้นมีลักษณะเป็นการบังคับใช้แบบ ‘One-Size-Fits-All’ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและเป็นวงกว้างต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ซึ่งเป็นรากฐานสําคัญของเศรษฐกิจไทย คิดเป็น 99.5% ของธุรกิจทั้งหมดและมีการจ้างงานกว่า70% ของแรงงานทั้งประเทศผลกระทบหลักที่คาดการณ์ได้คือ ต้นทุนด้านแรงงานที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด (ประมาณ40-50%) ซึ่งจะบั่นทอนความสามารถในการแข่งขัน ลดผลกําไร และนําไปสู่ความเสี่ยงในการปิดกิจการของผู้ประกอบการจํานวนมาก นอกจากนี้ ยังอาจก่อให้เกิด ผลกระทบเชิงลบที่ไม่ได้ตั้งใจ (Paradoxical Effect) ต่อตลาดแรงงาน กล่าวคือ แทนที่จะสร้างความมั่นคง อาจนําไปสู่การลดการจ้างงานประจําและเพิ่มการใช้แรงงานชั่วคราวหรือการจ้างเหมาบริการมากขึ้น
ดังจะเห็นได้จาก กรณีศึกษาจากต่างประเทศ ได้แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์เชิงลบของการบังคับใช้
กฎหมายลักษณะเดียวกันนี้โดยขาดมาตรการรองรับที่เพียงพอ ด้วยความตระหนักถึงเจตนารมณ์ที่ดีของกฎหมายแต่ในขณะเดียวกันก็ห่วงใยอย่างยิ่งต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการและเศรษฐกิจของประเทศ การยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานเป็นเป้าหมายที่สําคัญ แต่เครื่องมือที่ใช้ต้องไม่ทําลายรากฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ การผลักดันร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานฉบับนี้โดยไม่มีการปรับแก้และไม่มีมาตรการรองรับที่เหมาะสม จะสร้างภาระหนักหน่วงเกินกว่าที่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทยจะรับไหว และอาจนําไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจและการจ้างงานในวงกว้าง สภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทยในฐานะตัวแทนกลุ่มผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทยจึงขอแสดงความไม่เห็นด้วยต่อร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..)พ.ศ. .... (นายจรัส คุ้มไข่นํ้า) ที่ยังคงมีข้อกังวลและความไม่ชัดเจนถึงผลกระทบต่างๆ และขอให้ทบทวนการนําพระราชบัญญัติมาใช้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อคิดเห็นและข้อมูลจากกรณีศึกษาต่างประเทศในเอกสารฉบับนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาของท่าน เพื่อนําไปสู่การตัดสินใจที่เป็นคุณต่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป
ขอแสดงความนับถือ
(นายสุปรีย์ ทองเพชร)
ประธานสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย
การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงหลักในร่างพระราชบัญญัติ
ร่าง พ.ร.บ. ฉบับใหม่ได้เสนอการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญใน 3 ประเด็นหลัก ซึ่งสามารถสรุปได้ดังตารางต่อไปนี้

ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับธุรกิจ SME
1. ต้นทุนด้านแรงงานพุ่งสูงขึ้นอย่างฉับพลัน
การลดชั่วโมงทํางานลง 27% ควบคู่กับการเพิ่มวันหยุดประจําปีอีก 14 วัน หมายความว่า หาก SMEต้องการรักษาระดับการผลิตหรือการให้บริการให้เท่าเดิม จะต้องจ้างพนักงานเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 38-40% เพื่อทดแทนชั่วโมงทํางานที่หายไป ซึ่งนําไปสู่การเพิ่มขึ้นของต้นทุนอย่างมหาศาล
ตัวอย่าง: ธุรกิจ SME ที่มีพนักงาน 10 คน เงินเดือนเฉลี่ย 15,000 บาท
• ต้นทุนค่าจ้างเดิม: 150,000 บาท/เดือน
• ต้องจ้างพนักงานเพิ่ม: อย่างน้อย 4 คน (ต้นทุนเพิ่ม 60,000 บาท/เดือน)
• ต้นทุนแฝงที่เพิ่มขึ้น: ค่าประกันสังคม, สวัสดิการ, ค่าฝึกอบรม (ประมาณ 9,000 บาท/เดือน)
• รวมต้นทุนที่เพิ่มขึ้น: ประมาณ 69,000 บาท/เดือน หรือ 828,000 บาท/ปี ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มขึ้นของ
ต้นทุนบุคลากรถึง 46%
SME จํานวนมากที่มีอัตรากําไรสุทธิเพียง 5-10% จะไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในระดับนี้ได้ และมีความเสี่ยงสูงที่จะต้องปิดกิจการ
2. ความโกลาหลในการดําเนินงานและการบริหารจัดการ
การลดชั่วโมงทํางานและเพิ่มวันหยุดจะสร้างความซับซ้อนในการจัดตารางการทํางานอย่างมากโดยเฉพาะในธุรกิจบริการที่ต้องเปิดทําการ 7 วันต่อสัปดาห์ เช่น ร้านอาหาร, ค้าปลีก, โรงแรม และโลจิสติกส์ ซึ่งจะต้องมีการจัดกะที่ซับซ้อนขึ้น, เพิ่มจํานวนพนักงานในแต่ละกะ และอาจส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องของการบริการและคุณภาพในการส่งมอบงานและการบริการ
3. การสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
ต้นทุนที่สูงขึ้นจะบีบให้ SME ต้องปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการ ซึ่งจะทําให้ไม่สามารถแข่งขันกับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความได้เปรียบด้านขนาด (Economies of Scale) และสินค้านําเข้าจากประเทศที่มีต้นทุนแรงงานตํ่ากว่าได้ ส่งผลให้ SME ไทยสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดและอาจต้องออกจากตลาดไปในที่สุด
4. ผลกระทบเชิงลบที่ไม่ได้ตั้งใจต่อการจ้างงาน (The Paradoxical Effect)
แม้กฎหมายจะมีเจตนาคุ้มครองแรงงาน แต่ผลลัพธ์อาจเป็นตรงกันข้าม (Perverse Outcome) เพื่อความอยู่รอด SME อาจถูกบีบให้ต้อง
• ลดการจ้างงานประจํา: เพื่อควบคุมต้นทุนคงที่
• หันไปใช้ระบบอัตโนมัติ: เพื่อทดแทนแรงงานคนที่ต้นทุนสูงขึ้น
• เพิ่มการจ้างงานที่ไม่มั่นคง: เช่น การจ้างเหมาบริการ (Outsource), การจ้างพนักงานชั่วคราว
(Temporary Staff) หรือ Gig Workers ซึ่งแรงงานกลุ่มนี้มักไม่ได้รับความคุ้มครองและสวัสดิการเท่าเทียมกับพนักงานประจําปรากฏการณ์นี้จะทําให้ตลาดแรงงานมีความเปราะบางมากขึ้น และบั่นทอนเจตนารมณ์ของกฎหมายในที่สุด
5. บทเรียนจากกรณีศึกษาต่างประเทศ
การบังคับใช้กฎหมายลดชั่วโมงทํางานไม่ใช่เรื่องใหม่ และบทเรียนจากต่างประเทศเป็นเครื่องยืนยันถึงความเสี่ยงของแนวทางนี้ได้เป็นอย่างดี
กรณีศึกษาเชิงลบ: การบังคับใช้กฎหมายในฝรั่งเศสและเกาหลีใต้

บทเรียนจากทั้งสองประเทศชี้ชัดว่า การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดโดยขาดความยืดหยุ่นและมาตรการสนับสนุนที่เพียงพอ นําไปสู่ผลกระทบเชิงลบต่อ SME และตลาดแรงงานโดยรวม
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
ด้วยความตระหนักถึงเจตนารมณ์ที่ดีของกฎหมาย แต่ในขณะเดียวกันก็ห่วงใยอย่างยิ่งต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับ SME และเศรษฐกิจของประเทศ เราจึงขอเสนอแนวทาง 5 ประการเพื่อการพิจารณา ดังนี้
1. ทบทวนแนวทางการบังคับใช้แบบหนึ่งเดียว (One-Size-Fits-All): ควรพิจารณาแนวทางที่ยืดหยุ่นมากขึ้นเช่น การกําหนดกรอบเวลาทํางานเป็นค่าเฉลี่ยต่อเดือน หรือการมีข้อยกเว้นสําหรับธุรกิจบางประเภทหรือSME ที่มีขนาดเล็กมาก
2. ใช้แนวทางการบังคับใช้แบบค่อยเป็นค่อยไป (Phased Implementation): หากจะมีการบังคับใช้ ควรมีระยะเวลาเปลี่ยนผ่านที่ยาวนานเพียงพอ (เช่น 5-7 ปี) และเริ่มต้นจากบริษัทขนาดใหญ่ก่อน เพื่อให้ SMEมีเวลาในการปรับตัวและเรียนรู้จากกรณีศึกษาในประเทศ
3. จัดทําโครงการนําร่องโดยสมัครใจ (Voluntary Pilot Program): สนับสนุนให้เกิดโครงการนําร่องในประเทศไทย คล้ายกับกรณีของสหราชอาณาจักร เพื่อรวบรวมข้อมูลจริงเกี่ยวกับผลกระทบ, ความท้าทายและปัจจัยแห่งความสําเร็จในบริบทของไทย ก่อนที่จะพิจารณาออกเป็นกฎหมายบังคับใช้ในวงกว้าง
4. ออกมาตรการสนับสนุน SME อย่างเป็นรูปธรรม: หากมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย รัฐบาลจําเป็นต้องมีมาตรการช่วยเหลือ SME อย่างจริงจัง เช่น
• มาตรการทางภาษี: ลดหย่อนภาษีสําหรับบริษัทที่ต้องจ้างงานเพิ่ม
• เงินอุดหนุน (Subsidies): ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการนําเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติมาใช้เพื่อเพิ่ม
ผลิตภาพ
• โครงการฝึกอบรม: พัฒนาทักษะการบริหารจัดการและการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับผู้ประกอบการและแรงงาน
5. เปิดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นอย่างแท้จริง (Tripartite Consultation): จัดให้มีเวทีปรึกษาหารือระหว่าง 3 ฝ่าย คือ ภาครัฐ, ตัวแทนนายจ้าง (โดยเฉพาะจากสมาคม SME) และตัวแทนลูกจ้าง เพื่อร่วมกันออกแบบนโยบายที่สมดุลและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายอย่างยั่งยืน







