หุ้นไทยปิดลบ 7 จุด วิตกเหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุน

24 ก.ค. 2568 - 11:02

  • การประกาศข้อตกลงภาษีไทย-สหรัฐฯ วันที่ 1 สิงหาคม อาจส่งผลต่อทิศทางของฟันด์โฟลว์และความเชื่อมั่นในตลาดระยะถัดไป

  • ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน ส่งผลให้เกิดแรงขายในหุ้นที่อ่อนไหวต่อความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์

  • แนวโน้มดอกเบี้ย Fed และนโยบายธนาคารกลางไทย ปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางเงินบาทและการไหลเข้า-ออกของเงินทุนต่างชาติ

หุ้นไทยปิดลบ 7 จุด วิตกเหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุน

SET ปิดตลาดลบ 7.13 จุด หลังนักลงทุนกังวลเหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา ฉุดดัชนีหลุด 1,215 จุด แรงขายกระจายกลุ่มบิ๊กแคป

ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (24 ก.ค.) ปิดการซื้อขายในแดนลบ หลังความกังวลจากเหตุการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา กระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ โดย ดัชนี SET Index ปิดที่ระดับ 1,212.49 จุด ลดลง 7.13 จุด หรือ -0.58% ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 46,887.92 ล้านบาท

ระหว่างวัน ดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบแคบในช่วงเช้า ก่อนจะร่วงลงแรงในช่วงบ่ายทันทีหลังมีรายงานข่าวเหตุปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารใกล้จุดผ่านแดนถาวรบริเวณจังหวัดอุบลราชธานี ส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนเร่งขายทำกำไร และชะลอการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานและธนาคาร

ปัจจัยกดดันตลาด:

1. เหตุปะทะชายแดน:

นักวิเคราะห์ระบุว่า ความตึงเครียดบริเวณชายแดนส่งผลให้ตลาดมีแรงเทขายในหุ้นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ขณะเดียวกัน นักลงทุนต่างชาติบางส่วนเริ่มชะลอคำสั่งซื้อในตลาดหุ้นไทย แม้เงินบาทยังคงแข็งค่าในช่วงสั้น

2. แรงขายทำกำไรหลังดัชนีรีบาวด์:

หลังจากดัชนี SET ฟื้นตัวกว่า 100 จุดในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนบางส่วนเริ่มทยอยขายเพื่อลดความเสี่ยง โดยเฉพาะกลุ่ม Big Cap ที่ปรับขึ้นต่อเนื่อง เช่น กลุ่มธนาคาร, กลุ่มค้าปลีก และกลุ่ม ICT

หุ้นไทยดีขึ้นจริงแต่ยังไม่ใช่เทรนด์ขาขึ้น

ด้านนักวิเคราะห์จาก SCB CIO ชาตรี โรจนอาภา, CFA, FRM หัวหน้าทีมที่ปรึกษาการลงทุน SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้ความเห็นว่า การปรับฐานระยะสั้นยังไม่ใช่สัญญาณลบถาวร โดยตลาดยังมีแรงสนับสนุนจากแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ แต่เหตุการณ์เฉพาะหน้าเช่นสถานการณ์ชายแดน อาจสร้างแรงกดดันชั่วคราวต่อความเชื่อมั่น

ทั้งนี้ นักลงทุนยังควรติดตามประเด็นสำคัญในช่วงปลายเดือนนี้ ได้แก่ การประกาศข้อตกลงภาษีนำเข้าไทย–สหรัฐฯ ในวันที่ 1 สิงหาคม และแนวโน้มดอกเบี้ยจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ซึ่งอาจมีผลต่อทิศทางฟันด์โฟลว์ระยะถัดไป

ส่วนดัชนี SET Index ที่ฟื้นตัวกลับมายืนเหนือระดับ 1,200 จุดได้ มองว่าเป็นสัญญาณบวกในเชิงจิตวิทยา แต่ก็มาพร้อม “ความเสี่ยงของการขายทำกำไร” โดยเฉพาะจากนักลงทุนที่เข้าซื้อในช่วงก่อนหน้านี้ที่ดัชนีต่ำกว่า 1,100 จุด

หุ้นกลุ่มไหนยังน่าจับตา?

SCB CIO แนะนำให้นักลงทุนโฟกัสกลุ่มที่มีพื้นฐานดีและอยู่ในเทรนด์ระยะยาว เช่น:

 • หุ้น Defensive เช่น ธุรกิจสาธารณูปโภค หรือกลุ่ม Health & Wellness

 • หุ้นท่องเที่ยว ที่ยังมี Upside เทียบกับกลุ่มคู่แข่งในภูมิภาค

 • หุ้นขนาดกลาง–เล็ก ที่ยังไม่ปรับขึ้นแรงเท่าบิ๊กแคป

ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่หรือ Big Cap ที่ฟื้นแรงในช่วงที่ผ่านมา อาจต้องระวังแรงขายจากกำไรสะสม และแรงกดดันจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากค่าแรงและต้นทุนพลังงาน

เงินบาทแข็ง–ฟันด์โฟลว์เข้า แต่ระยะสั้นเท่านั้น

อีกปัจจัยหนึ่งที่หนุนตลาดคือ “เงินบาทแข็งค่า” ลงมาอยู่ระดับ 32 บาทต้น ๆ ต่อดอลลาร์ ทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยหลักหมื่นล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ชาตรีมองว่า การแข็งค่าครั้งนี้ “อาจเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว” โดยเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่ากลับในช่วงปลายไตรมาส 3 หากธนาคารแห่งประเทศไทยเริ่มส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย

“บาทแข็งสวนทางนโยบายเศรษฐกิจไทยที่เน้นส่งออก–ท่องเที่ยว จึงไม่น่าจะยืนแข็งนาน”

ชาตรี โรจนอาภา

ในภาพรวม SCB CIO มองว่า แม้ฟันด์โฟลว์จะยังคงไหลเข้าในระยะสั้น แต่ต้องติดตามใกล้ชิดว่าหลังการเจรจาการค้าสิ้นสุดจะเกิดการ “ขายทำกำไร” หรือไม่ และต้องจับตาปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะแนวโน้มดอกเบี้ยของสหรัฐและเศรษฐกิจจีน

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์