สงครามการค้ารอบใหม่ จีน–สหรัฐฯ ระอุ! จุดชนวนแรงกดดันตลาดโลก นักลงทุนจับตาผลเจรจาปลายเดือนนี้

16 ต.ค. 2568 - 04:31

  • สงครามการค้าสหรัฐ–จีน กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง กดดันตลาดทุนทั่วโลก

  • เฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย เพิ่มอีก 2 ครั้งในปีนี้ เพื่อประคองเศรษฐกิจ

  • ราคาทองคำพุ่งแตะจุดสูงสุดรอบใหม่ นักลงทุนหันหาสินทรัพย์ปลอดภัย

สงครามการค้ารอบใหม่ จีน–สหรัฐฯ ระอุ! จุดชนวนแรงกดดันตลาดโลก นักลงทุนจับตาผลเจรจาปลายเดือนนี้

ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างสองมหาอำนาจ “สหรัฐฯ–จีน” ที่กลับมาปะทุอีกครั้ง ชาตรี โรจนอาภา CFA, FRM หัวหน้าที่ปรึกษาการลงทุน SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ วิเคราะห์แนวโน้มตลาดโลกและกลยุทธ์การลงทุนท่ามกลางความไม่แน่นอน พร้อมชี้ว่า “นี่อาจเป็นเกมต่อรอง มากกว่าสงครามจริง”

สงครามการค้า: เกมต่อรองก่อนดีลใหญ่ปลายตุลาคม

ชาตรีมองว่า ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนในรอบล่าสุด เป็นเพียง “การเพิ่มอำนาจต่อรอง” ก่อนการเจรจาทางเศรษฐกิจรอบสำคัญปลายเดือนตุลาคมนี้ที่เกาหลีใต้

ตอนนี้จีนจำกัดการส่งออกแร่แรร์เอิร์ธและแบตเตอรี่ ส่วนสหรัฐฯ ขู่ตั้งภาษี 100% แต่ทั้งหมดยังไม่บังคับใช้จริง ยังมีเวลาในการเจรจา

ชาตรี โรจนอาภา

ชาตรีเสริมว่า รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ส่งสัญญาณ “ปลอบตลาด” ด้วยการพูดถึงความเป็นไปได้ในการเลื่อนการขึ้นภาษีออกไป เพื่อลดผลกระทบต่อตลาดทุนในประเทศ

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ: ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว แต่ยัง “ไซด์เวย์”

“วันศุกร์ที่ผ่านมาเป็นวันที่ตลาดแย่ที่สุด เพราะยังไม่รู้เจตนาของทั้งสองฝ่าย แต่ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าสหรัฐฯ ไม่ต้องการให้สถานการณ์ลุกลาม” ชาตรีระบุ

นอกจากนี้ยังคาดว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคลื่อนไหวในกรอบ (Sideways) โดยมี Downside ราว 2–3% จากราคาปิดก่อนหน้า และจะจับตาการเจรจาปลายเดือนตุลาคม ซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนของตลาด

นโยบายการเงินโลก: เฟดส่งสัญญาณชัด “พร้อมลดดอกเบี้ย”

ชาตรีระบุว่า สัญญาณจากเฟดเริ่มชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะจาก Susan Collins หนึ่งในกรรมการเฟดที่มีจุดยืน “Dovish” ที่สุด

“ตัวเลขการจ้างงานชะลอตัว การบริโภคลดลง และ NPL จากสินเชื่อบุคคลเริ่มขยับขึ้น เฟดจึงมีเหตุผลเพียงพอในการลดดอกเบี้ย”

และคาดว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งภายในสิ้นปีนี้ และลดลงอีก 1 จุดภายในสิ้นปีหน้า ทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.5–3.5%

ธนาคารสหรัฐฯ: รายได้ตลาดทุนหนุนกำไร แต่รีเทลเริ่มสั่น

ชาตรีระบุว่า ผลประกอบการของธนาคารสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด โดยได้แรงหนุนจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย เช่น ธุรกิจ IPO, M&A และ Wealth Management

แต่สัญญาณน่ากังวลคือ NPL ภาคบริโภคเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิต สะท้อนเศรษฐกิจครัวเรือนที่เริ่มอ่อนแรง

แม้คอร์ปอเรทยังแข็งแกร่ง แต่ตลาดรีเทลเริ่มเห็นรอยร้าว ต้องติดตามใกล้ชิด

ชาตรี โรจนอาภา

หุ้นเทคโนโลยี: จับตา “Hyperscaler” ตัวชี้ทิศ AI โลก

สำหรับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ชาตรีมองว่า ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ท่าทีของ Hyperscaler รายใหญ่ เช่น Amazon, Google, Microsoft และ Meta

หากยังเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI ต่อเนื่อง จะเป็นแรงหนุนให้ตลาดเทคโนโลยีเติบโตต่อ

“แต่ถ้ามองว่าการลงทุนเริ่มเกินพอดีและเริ่มถอนทุน อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของกลุ่มนี้”

ชาตรียังเชื่อว่า ระยะยาวหุ้นเทคโนโลยียังเป็นขาขึ้น แม้สงครามการค้าจะสร้างแรงสั่นสะเทือนระยะสั้น

ทองคำ: ยัง “ซื้อได้” แม้จะทะลุกว่า $4,000

แม้ราคาทองคำพุ่งขึ้นกว่า 60% แตะระดับ $4,000 ต่อออนซ์ ชาตรียังมองว่าทองคำ “น่าลงทุนต่อ” เพราะธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะจีน ยังคงซื้อต่อเนื่อง

“ทองคำไม่ใช่แค่สินทรัพย์ปลอดภัย แต่กำลังกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง (Paradigm Shift)”

ชาตรีมองว่าเป้าหมายทองคำอยู่ที่ $5,000–$6,000 ต่อออนซ์ และอาจแตะ $10,000 ได้ในระยะยาว หากกระแสการถือครองทองคำของธนาคารกลางกลับมาสู่ระดับยุค 1980

ตราสารหนี้: โอกาสลงทุนจากดอกเบี้ยขาลง

ชาตรีแนะนำให้นักลงทุนทยอยสะสม พันธบัตรสหรัฐฯ เนื่องจากได้แรงหนุนจากความคาดหวังว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย และอัตราเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัว

“ถ้าจีนกับสหรัฐฯ จบเรื่องสงครามการค้า เฟดจะลดดอกเบี้ยได้จริง และพันธบัตรจะได้ประโยชน์ชัดเจน”

กลยุทธ์การลงทุน: “อย่าตื่นตระหนก แต่ต้องเลือกเกมให้ถูก”

แม้สถานการณ์สงครามการค้าจะสร้างความผันผวน แต่ชาตรีแนะว่า นักลงทุนไม่ควรตื่นตระหนก เพราะทั้งสองฝ่ายต่างต้องการ “จบบนโต๊ะเจรจา”

คำแนะนำการลงทุนจาก SCB CIO:

 •  หุ้นสหรัฐฯ: แกว่งตัวในกรอบ รอผลเจรจาปลายเดือน

 •  หุ้นเทคโนโลยี: ระยะยาวยังเป็นบวก จับตางบ Q3

 •  ทองคำ: ยังซื้อได้ เป้าหมาย $5,000–6,000

 •  พันธบัตร: โอกาสเพิ่มน้ำหนักการลงทุน รับเฟดลดดอกเบี้ย

สุดท้ายแล้ว สงครามการค้าจะจบลงบนโต๊ะเจรจา ทุกคนไม่ได้ตามที่ต้องการทั้งหมด แต่ก็จะไม่แย่ไปกว่าที่คาด

ชาตรี โรจนอาภา

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์