ชาพันธุ์ใหม่สะเทือนวงการ กวก.เชียงใหม่ 1
ชาพันธุ์ใหม่ กวก.เชียงใหม่ 1 จุดเด่น ใบบาง หอมหวล ผลผลิตพุ่ง พร้อมปั้นไทยสู่เวทีชาโลก พัฒนาโดย กรมวิชาการเกษตรประกาศแจ้งเกิดดาวดวงใหม่แห่งวงการชาไทย “ชาพันธุ์กวก.เชียงใหม่ 1” พันธุ์ชาคุณภาพสูงที่ใช้เวลาคัดสรรจากต้นกล้านับพัน จนเหลือเพียง หนึ่งเดียว ที่ครบทั้งผลผลิตสูง ใบบาง กลิ่นหอม และรสชาติกลมกล่อมอย่างเป็นเอกลักษณ์

นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ระบุว่า ชาเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ โดยเฉพาะในพื้นที่สูงภาคเหนือที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสม ชาที่ปลูกในไทยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอัสสัมและชาจีน ซึ่งสามารถแปรรูปได้หลากหลาย แต่หลายพันธุ์ที่นำเข้าแม้คุณภาพดี ยังไม่ “เสถียร” พอ ทั้งด้านผลผลิตและการปรับตัวต่อสภาพอากาศ จุดเริ่มต้นของภารกิจสร้าง “ชาไทยสายพันธุ์ใหม่” ที่ทั้งให้ผลผลิตสูง และให้กลิ่น-รสระดับพรีเมียม มาจากการคัดเลือกชา จาก 3,500 ต้น 50 ต้น 35 สายพันธุ์ 19 สายพันธุ์ 5 สายพันธุ์ เหลือ 1 ตัวจริง

การคัดเลือกเข้มข้นราวประกวดดารา
ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่เริ่มต้นด้วยการรวบรวมเมล็ดชาจากทั่วโลกกว่า 3,500 ต้น ปลูกในพื้นที่ 37 ไร่ จากนั้นคัดแบบขั้นต่อขั้น ทั้งการเติบโต ผลผลิต คุณภาพชา การชิม และความสม่ำเสมอของกลิ่นรส การคัดกรองอันโหดหินนี้ทำให้ได้แชมป์ของแชมป์ “สายพันธุ์แม่จอนหลวงเบอร์ 3” ผ่านทุกด่านอย่างโดดเด่น ก่อนจะถูกเสนอขึ้นทะเบียนเป็นพันธุ์แนะนำ และได้รับชื่ออย่างเป็นทางการ ว่า กวก.เชียงใหม่ 1

“ชาพันธุ์กวก.เชียงใหม่ 1” จุดเด่นที่ทำให้วงการชาไทยต้องหันมามอง
นางสาวศิรากานต์ ขยันการ นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ เผยว่า พันธุ์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อ “งานเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ” โดยมีคุณสมบัติชั้นเลิศ คือ ผลผลิตสูงเฉลี่ย 958 กก./ไร่/ปี สูงกว่าหลายพันธุ์การค้า เหมาะกับทั้งเกษตรกรรายย่อยจนถึงผู้ผลิตรายใหญ่ ใบบางเฉลี่ยเพียง 0.11 มม. ข้อดีสำคัญสำหรับชาเขียว เพราะใบบางทำให้การสกัดสารสำคัญได้ดี ได้ชาที่ “หอม สด และกลมกล่อมกว่า” ชามีกลิ่นหอม รสละมุน ไม่ฝาด ชิมแล้วได้รสกลมกล่อมที่ดื่มได้ทั้งวันไม่ขมคอ มีสัดส่วนใบมากกว่าก้าน (ก้านต่อใบเพียง 4.10%) เพิ่มคุณภาพชาระดับพรีเมียม เพราะใบคือหัวใจของชา ผลทดสอบทางประสาทสัมผัสและการวิเคราะห์ทางเคมีชี้ชัดว่า เหมาะกับการแปรรูปเป็นชาเขียวมากกว่าพันธุ์การค้าเดิมอย่างชัดเจน

พร้อมลุยกระจายพันธุ์ ผลิตได้ 16,000–27,000 ต้น/ปี
ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่มีแปลงแม่พันธุ์กว่า 2,000 ต้น ที่ให้กิ่งพันธุ์ปีละ 20,000–30,000 กิ่ง นำไปปักชำต่อในระบบเรือนเพาะชำมาตรฐาน พร้อมอัตรารอดสูงถึง 80–90% หมายความว่า… ไทยพร้อมผลิตต้นชาสายพันธุ์ใหม่ปีละ 16,000–27,000 ต้น รองรับตั้งแต่พื้นที่ปลูกระดับครัวเรือนจนถึงแปลงใหญ่ของผู้ประกอบการชา


