คลังเตรียมใช้ภาษีเงินได้ติดลบปี 2570 คนไทย 60 ล้านคนต้องยื่นภาษี ใช้งบมหาศาล

16 ส.ค. 2568 - 03:52

  • คนไทย 60.8 ล้านคนต้องยื่นภาษีทุกคน ไม่ว่าจะมีรายได้เท่าไหร่ เพื่อรับเงินเยียวยาหรือจ่ายภาษี

  • รัฐรวม 20 โครงการสวัสดิการเป็นระบบเดียว ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการจ่ายเงินช่วยเหลือ

  • ระบบใหม่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ แต่ต้องใช้งบประมาณและโครงสร้างพื้นฐานมหาศาล

คลังเตรียมใช้ภาษีเงินได้ติดลบปี  2570    คนไทย 60 ล้านคนต้องยื่นภาษี ใช้งบมหาศาล

ประเทศไทยกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ระบบสวัสดิการสังคม เมื่อกระทรวงการคลังเตรียมเปิดตัวระบบภาษีเงินได้ติดลบ (Negative Income Tax) ในปี 2570 ที่จะกำหนดให้พลเมืองไทยทุกคนต้องเข้าสู่ระบบการยื่นภาษี โดยไม่คำนึงถึงระดับรายได้

ระบบใหม่จะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนจากพื้นฐาน ด้วยการสร้างกรอบงานที่เก็บภาษีจากผู้ที่มีกำลังจ่าย

พร้อมกันนั้นก็ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ด้วยฐานข้อมูลที่ครอบคลุมคนไทย 60.8 ล้านคน และธุรกิจ 600,000 แห่ง การปฏิรูปครั้งนี้ตั้งเป้าแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความไม่มีประสิทธิภาพของระบบสวัสดิการ และการนำแรงงานนอกระบบหลายล้านคนเข้าสู่เศรษฐกิจที่เป็นทางการ

Negative Income Tax แนวคิดภาษีเงินได้ติดลบ คือ ระบบที่ให้ประชาชนทุกคนต้องยื่นแบบภาษี แม้มีรายได้น้อยกว่าฐานที่ต้องเสียภาษีเพื่อให้รัฐใช้ข้อมูลรายได้ ในกาาคัดกรองสิทธิ์สวัสดิการอย่างแม่นยำ

ถ้ารายได้สูงกว่าเกณฑ์ หรือสูงกว่า 150,000 บาทต่อปี จ่ายภาษีตามปกติ

แต่ถ้ารายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ 150,000 บาทต่อปีไม่ต้องเสียภาษี โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐแทน

ต้นทุนมหาศาลกับผลตอบแทนที่คาดหวัง

คำถามสำคัญที่ทุกคนต้องถามคือ การใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้คุ้มค่าหรือไม่ เมื่อดูจากมุมมองทางการเงิน ระบบใหม่ต้องการเงินสนับสนุนผู้มีรายได้ต่ำหลายล้านคน ขณะที่รัฐบาลพยายามลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้ผู้มีรายได้สูงในเวลาเดียวกัน

รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการคลัง จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ยืนยันว่า กระทรวงการคลังกำลังดำเนินการศึกษาอย่างละเอียดเพื่อให้ระบบประสบความสำเร็จ โดยเน้นการปรับโครงสร้างโครงการสวัสดิการที่มีอยู่และสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่จำเป็น การลงทุนในระบบ Data Lake ที่รวมข้อมูลจาก 10 หน่วยงานรัฐถือเป็นหนึ่งในโครงการดิจิทัลภาครัฐครอบคลุมที่สุดด้วย

ปลัดกระทรวงการคลัง ลวรณ แสงสนิท ย้ำว่าขั้นตอนแรกจะมุ่งเน้นการทบทวนและรวมโครงการสวัสดิการที่มีอยู่กว่า 20 โครงการภายใต้หน่วยงานต่างๆ เพื่อขจัดความซ้ำซ้อน ลดต้นทุนการบริหาร และเพิ่มประสิทธิภาพการกำหนดเป้าหมาย

อุปสรรคและความท้าทายที่ต้องเผชิญ

แม้จะมีข้อดีตามทฤษฎี แต่การนำระบบภาษีเงินได้ติดลบไปใช้ ต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญหลายประการ ความซับซ้อนทางการบริหารในการเปลี่ยนจากระบบสวัสดิการแบบกระจัดกระจาย ให้รวมอยู่ในกรอบเดียวกันที่เป็นเอกภาพ ความสามารถของรัฐบาลที่มีอยู่ไม่เพียงพอกับการบริหารจัดการ

ข้อกำหนดให้ทุกคนยื่นภาษีหมายความว่าคนไทยหลายล้านคนที่ไม่เคยติดต่อกับกรมสรรพากรต้องเรียนรุ้การเตรียมเอกสารภาษีในทันที สร้างความต้องการบริการช่วยเหลือผู้เสียภาษีอย่างมหาศาล และอาจทำให้โครงสร้างพื้นฐานการบริหารที่มีอยู่ต้องรับภาระหนักเกินไป

คุณภาพข้อมูลและการตรวจสอบเป็นความท้าทายด้านเทคนิคที่สำคัญซึ่งอาจบั่นทอนประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของระบบ ระบบภาษีเงินได้ติดลบต้องพึ่งพาการรายงานรายได้ที่ถูกต้อง แต่เศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่ของไทย และเอกสารทางการเงินที่จำกัดในหมู่ประชากรรายได้น้อยสร้างอุปสรรคสำคัญต่อการตรวจสอบรายได้ที่แม่นยำ

บทเรียนจากต่างประเทศและแนวทางปรับใช้

ประสบการณ์ระหว่างประเทศให้บทเรียนสำคัญสำหรับการนำนโยบายระบบภาษีเงินได้ติดลบมาใช้ในไทย

สหรัฐอเมริกาใช้ Earned Income Tax Credit มาตั้งแต่ปี 1975 มีตัวอย่างเรื่องความท้าทายในทางปฏิบัติ และประโยชน์ของโปรแกรมความช่วยเหลือทางสังคมที่บริหารผ่านระบบภาษี

แคนาดาและอังกฤษมี Working Income Tax Benefit และ Working Tax Credit

สิงคโปร์มี Workfare Income Supplement ที่อาจเป็นการเปรียบเทียบระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องที่สุดสำหรับไทย เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในภูมิภาคและความท้าทายในการพัฒนาที่คล้ายคลึงกัน

ประเทศที่ใช้ระบบนี้แล้วประสบความสำเร็จ ต้องมีความสามารถในการบริหารจัดการข้อมูลจำนวนมาก ระบบข้อมูลที่แข็งแกร่ง และความั่นคงทางการเมือง ไม่ปรับเปลี่ยนหรือยกเลิกนโยบายนี้ เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย

การนำระบบภาษีเงินได้ติดลบมาใช้ในประเทศไทยมีความหมายต่อโครงสร้างเศรษฐกิจมหภาคและแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว การอัดฉีดเงินสนับสนุนรายได้เข้าสู่เศรษฐกิจผ่านกลไกของรัฐ ผู้รับใช้เงินสวัสดิการซื้อสิ่งจำเป็นพื้นฐาน อาจกระตุ้นความต้องการภายในประเทศและสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่นทั่วประเทศ

ศักยภาพของระบบในการลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้เป็นความท้าทาย เนื่องจากปัจจุบันไทยมีค่าสัมประสิทธิ์ Gini (ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของประชากร)สูงสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออก-แปซิฟิกที่ 43.3 เปอร์เซ็นต์

การกระจุกตัวของความมั่งคั่ง ร่ำรวยมีสัดส่วน 10% แต่สามารถควบคุมรายได้และสินทรัพย์ของชาติกว่าครึ่งหนึ่ง สร้างความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจที่จำกัดการบริโภคภายในประเทศ และโอกาสการกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ

การที่แรงงานนอกระบบต้องเข้าสู่ระบบการยื่นภาษีอาจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจไทยโดยการนำแรงงานนอกระบบและธุรกิจขนาดเล็กหลายล้านราย เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ ทำให้สร้างโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อ ประกันภัย และบริการทางการเงินอื่นๆ ที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็ช่วยให้การวางแผนเศรษฐกิจและการนำนโยบายไปใช้ดีขึ้น

ข้อมูลของสภาพัฒน์ฯ ระบุว่าปี 2565 มีแรงงานในระบบ 19 ล้านคน แต่มีผู้ยื่นแบบภาษี เพียง 10.7 ล้านคน และท้ายสุดเหลือผู้ที่มีรายได้สุทธิที่อยู่ในเกณฑ์ต้องเสียภาษีเพียง 4.2 ล้านคนเท่านั้น ขณะที่ตัวเลขผู้รับสวัสดิการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีกว่า 13 ล้านคน ยังไม่รวมคนตกหล่นอีกจำนวนมาก ขณะที่ 13 ล้านคน บางคนมีรายได้เกิน และปกปิดรายได้ แต่ยังคงขอรับสวัสดิการอยู่

ระบบสวัสดิการปัจจุบันและความจำเป็นในการปฏิรูป

โครงสร้างสวัสดิการที่มีอยู่ของไทยสะท้อนการพัฒนาแบบชั่วคราว โปรแกรมบัตรสวัสดิการแห่งรัฐปัจจุบันซึ่งทำหน้าที่เป็นกลไกความช่วยเหลือทางสังคมหลัก ครอบคลุมประชาชนประมาณ 14.6 ล้านคนและให้ผลประโยชน์ต่างๆ รวมถึงการซื้อสินค้าแบบมีส่วนลด ค่าเดินทาง และความช่วยเหลือค่าสาธารณูปโภค

การแบ่งแยกของระบบสวัสดิการปัจจุบันของไทยกว่า 20 โปรแกรมที่บริหารโดยหน่วยงานรัฐต่างๆ ไม่มีประสิทธิภาพ และขาดการประสานงานอย่างมาก ผู้รับต้องผ่านกระบวนหลายขั้นตอน เกณฑ์การมีสิทธิ์ และขั้นตอนการบริหารหลายระดับเพื่อเข้าถึงความช่วยเหลือรูปแบบต่างๆ ซึ่งบางขั้นตอนซ้ำซ้อน และสับสน

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ของไทยสู่สังคมผู้สูงอายุ สร้างแรงกดดันเพิ่มเติมสำหรับการปฏิรูประบบสวัสดิการ โปรแกรมความช่วยเหลือของรัฐบาลต้องรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากประชากรผู้สูงอายุ

ก้าวสู่อนาคตหรือก้าวถอยหลัง?

เมื่อพิจารณาจากทุกมุมมอง ระบบภาษีรายได้เชิงลบของไทยเป็นมากกว่าการปฏิรูปสวัสดิการธรรมดา มันคือการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและประชาชนที่อาจปรับเปลี่ยนพลวัตทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองสำหรับคนรุ่นต่อไป แต่คำถามที่ยังไม่มีคำตอบคือ ประเทศชาติจะยอมใช้เงินลงทุนมหาศาลและยอมสูญเสียความเป็นส่วนตัวบางส่วนเพื่อแลกกับสังคมที่เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือเราจะค้นพบว่าการเปลี่ยนแปลงครึ่งใหญ่นี้สร้างปัญหาใหม่มากกว่าที่แก้ไขปัญหาเก่า?

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์