‘พาณิชย์’ ขานรับดีลภาษี 19% สหรัฐฯ เดินหน้าตั้ง One Stop Service ช่วยผู้ประกอบการปรับตัว
ทันทีที่สหรัฐอเมริกาประกาศบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสินค้าจากประเทศไทยในอัตรา 19% กระทรวงพาณิชย์ไม่รอช้า เตรียมตั้งศูนย์ One Stop Service รองรับผลกระทบ ช่วยผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่มรายย่อยให้สามารถปรับตัวได้อย่างทันท่วงที พร้อมเดินหน้าขยายตลาดใหม่และเร่งเจรจา FTA เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดโลก
จตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การที่ไทยสามารถเจรจาให้อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อยู่ในระดับ 19% ถือเป็นข่าวดี เพราะอัตราดังกล่าวใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งในอาเซียนอย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา ทำให้ไทยยังมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ได้ต่อเนื่อง แม้จะส่งผลกระทบบ้างกับกลุ่มผู้ประกอบการรายเล็กหรือสินค้าที่มี margin ต่ำ
“เราทราบดีว่าอัตราภาษี 19% ไม่ใช่ภาระเล็ก ๆ สำหรับผู้ส่งออกบางกลุ่ม โดยเฉพาะ SMEs จึงได้เตรียมตั้งศูนย์ One Stop Service ที่ศูนย์ส่งออกสินค้ารัชดา เพื่อให้คำแนะนำแบบครบวงจรทั้งด้านการเงิน การตลาด การปรับปรุงต้นทุน และนวัตกรรม โดยร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน”
— จตุพร กล่าว
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ยังย้ำว่า ได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์เร่งเปิดตลาดใหม่ พร้อมกำหนดตัวชี้วัดการดำเนินงาน โดยเน้นการเร่งเจรจา FTA กับประเทศคู่ค้าศักยภาพ เช่น อินเดีย ตุรกี และกลุ่มประเทศแอฟริกา ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการกระจายความเสี่ยงและขยายโอกาสการค้าสำหรับสินค้าไทยในอนาคต
ทั้งนี้ กระทรวงฯ จะทำการวิเคราะห์ผลกระทบเชิงลึกในระดับรายสินค้า เพื่อออกแบบมาตรการเฉพาะเจาะจงให้ตรงจุด พร้อมเตรียมแผนระยะสั้นและระยะยาวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยอื่น เช่น ภูมิรัฐศาสตร์ มาตรการสิ่งแวดล้อม เช่น CBAM ของสหภาพยุโรป และแนวโน้มความเข้มงวดด้านมาตรฐานต่างๆ ทั่วโลก
“สิ่งสำคัญที่สุดในสถานการณ์นี้ คือ การปรับตัวของผู้ประกอบการ ไม่ใช่แค่รับมือกับภาษีจากสหรัฐฯ แต่ต้องมองให้ไกลถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลก ไทยต้องปรับตัวให้เร็ว และปรับตัวให้ทัน”
— จตุพร กล่าว
สำหรับภาพรวมการส่งออกปี 2568 นายจตุพรระบุว่า แม้จะมีแรงเสียดทานจากภาษีใหม่ แต่การส่งออกไทยยังมีแนวโน้มเป็นบวก โดยกระทรวงพาณิชย์จะเดินหน้าทำงานร่วมกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของนักลงทุน และผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป