ในบริบทเศรษฐกิจโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งการแข่งขันเชิงพาณิชย์ที่รุนแรง การเปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์ และผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งสร้างแต้มต่อเชิงโครงสร้างเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน โดยหนึ่งในเครื่องมือเชิงนโยบายที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นกลไกสำคัญ คือ การใช้ทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property: IP) เป็นฐานในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
อรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เผย หลังท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์คนใหม่-ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ได้แถลงนโยบาย “Quick Big Win” เมื่อ 1 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา และมอบหมายให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาเร่งดำเนินการเสริมความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการ SMEs และเกษตรกร ผ่านการต่อยอดมูลค่าทางเศรษฐกิจของ สินค้า GI (Geographical Indication) และการประยุกต์ใช้นวัตกรรมทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อสร้างรายได้และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันอย่างยั่งยืน

สินค้า GI เป็นกลไกสำคัญที่พิสูจน์แล้วว่า สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นกว่าสินค้าทั่วไปถึง 2–5 เท่า โดยปัจจุบันไทยมีสินค้า GI ที่ขึ้นทะเบียนแล้วกว่า 239 รายการ ครอบคลุมทุกจังหวัด และสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในปี 2568 มากกว่า 82,000 ล้านบาท ดังนั้น เพื่อขับเคลื่อนนโยบายให้เห็นผลรูปธรรมภายใน 4 เดือน กรมฯ จะเร่งดำเนินการ 3 ด้านหลัก ได้แก่
1. ต่อยอด GI ที่ขึ้นทะเบียนแล้ว ผ่านระบบควบคุมคุณภาพ ยกระดับภาพลักษณ์สู่ระดับพรีเมียม และขยายช่องทางตลาดทั้งในและต่างประเทศ
2. ผลักดันการขึ้นทะเบียน GI ใหม่ โดยมีสินค้าเป้าหมาย 5 รายการ ได้แก่ ทุเรียนชุมพร, กกเหล่าพัฒนา (นครพนม), ไก่เบตงยะลา, ผ้าทอนาหมื่นศรี (ตรัง) และมะยงชิดแม่ย่าสุโขทัย
3. เสริมสร้างความตระหนักรู้และการใช้ IP เชิงกลยุทธ์ เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายใหม่ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจโลก
นอกจากนี้ กรมฯ ยังเตรียมความร่วมมือกับพาณิชย์จังหวัดและสำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ เพื่อเจาะตลาดเป้าหมายและขยายสินค้า GI ไทยสู่สากล พร้อมบ่มเพาะผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถใช้ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นกลไกขับเคลื่อนธุรกิจ เพิ่มมูลค่า และยกระดับรายได้ของประชาชน
อธิบดี-อรมน ยืนยันว่า กรมฯ จะเร่งนำแผนปฏิบัติไปสู่การขับเคลื่อนทันที เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าทรัพย์สินทางปัญญาไม่ใช่เพียงเครื่องมือคุ้มครองสิทธิ แต่จะกลายเป็น ยุทธศาสตร์สำคัญในการสร้างแต้มต่อทางเศรษฐกิจของประเทศ



