ทองคำเดือด! ลุ้นทะลุ $3,400 หลัง “ทรัมป์” ปลุกสงครามภาษีรอบใหม่

14 ก.ค. 2568 - 04:35

  • ทองคำพุ่งแรง! ลุ้นทะลุ $3,400 หลัง “ทรัมป์” เดินหน้าเก็บภาษีทั่วโลก

  • ดอลลาร์สหรัฐฯ ร่วงแรงสุดในรอบ 50 ปี นักลงทุนแห่ซื้อทอง

  • ETF ทองคำทั่วโลกพุ่ง! สะท้อนความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจหลัก

ทองคำเดือด! ลุ้นทะลุ $3,400 หลัง “ทรัมป์” ปลุกสงครามภาษีรอบใหม่

ราคาทองคำวันนี้ (14 ก.ค. 2568) เปิดตลาดขยับขึ้น 100 บาท เมื่อเทียบกับราคาสุดท้ายเมื่อวานนี้ โดยทองรูปพรรณขายออกบาทละ 52,350 บาท ตามข้อมูลล่าสุด จากเว็บไซต์ของสมาคมค้าทองคำ เมื่อเวลา 09.47 น. ที่ผ่านมา

ทองคำแท่งในประเทศ ราคารับซื้ออยู่ที่บาทละ 51,400 บาท ขายออก 51,500 บาท ตามประกาศครั้งที่ 3 ประจำวันนี้ ด้านราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่บาทละ 50,376.68 บาท และมีราคาขายออกที่ 52,300 บาท เมื่อเวลา 10.54

ทั้งนี้ ในส่วนของราคาทองคำโลก (Gold Spot) อยู่ที่ระดับ 3,372.30 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

ด้านฮั่วเซงเฮงเผยแพร่บทวิเคราะห์ราคาทองคำ เปิดเผยว่าราคาทองคำโลกปิดตลาดในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้น +29.33 ดอลลาร์ ปิดตลาด 3,354.7 ดอลลาร์ หลังจากปรับตัวลงเคลื่อนไหวต่ำกว่า 3,300 ดอลลาร์ ในช่วงกลางสัปดาห์ การปรับตัวขึ้นของราคาทองเกิดจากประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับนโยบายการค้าที่กลับมา “แข็งกร้าว” อีกครั้ง ภายใต้การขยับตัวของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงกว่า 10.7% เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 ถือเป็นการร่วงแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1973 ที่สหรัฐฯ ยกเลิกระบบอิงทองคำ (Bretton Woods) การอ่อนค่าครั้งนี้สะท้อนความกังวลของนักลงทุนต่อเสถียรภาพทางการคลังของสหรัฐฯ โดยเฉพาะหนี้สาธารณะที่พุ่งสูง และความไม่แน่นอนของทิศทางดอกเบี้ยจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) กำลังเป็นแรงหนุนสำคัญต่อความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

“ทรัมป์” เร่งเก็บภาษีนำเข้า ปลุกความเสี่ยงสงครามการค้า

ความเคลื่อนไหวสำคัญที่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อตลาดโลกคือ การที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เดินหน้าส่งจดหมายแจ้งภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับสินค้านำเข้าจากกว่า 25 ประเทศ โดยมีการเปิดเผยผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ว่าจดหมายเรียกเก็บภาษีได้ถูกส่งออกไปเรียบร้อยแล้ว

การจัดเก็บภาษีมีตั้งแต่อัตรา 20% ถึง 50% โดยไทย กัมพูชา ลาว เมียนมา บราซิล แคนาดา และล่าสุดสหภาพยุโรป และเม็กซิโก ต่างเป็นเป้าหมายหลักของรอบนี้ นอกจากนี้ ยังมีแผนจัดเก็บภาษีนำเข้าทองแดงเพิ่ม 50% เพื่อส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ เนื่องจากทองแดงมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โครงสร้างพื้นฐาน และยุทโธปกรณ์ ทรัมป์ยังแย้มว่าจะเก็บภาษีเซมิคอนดักเตอร์และผลิตภัณฑ์ยาบางชนิดสูงถึง 200% ภายใน 1 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าหากทรัมป์กลับมามีอำนาจอีกครั้ง นโยบายการค้าแข็งกร้าวจะกลับมาเป็นเครื่องมือหลักของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

 มาตรการเหล่านี้สร้างความกังวลต่อนักลงทุนทั่วโลก และยิ่งกระตุ้นความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำในระยะกลางถึงยาว

ธนาคารกลางจีนเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง

ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกเร่งเพิ่มการถือครองทองคำเพื่อลดการพึ่งพาดอลลาร์ โดยเฉพาะธนาคารกลางจีน (PBOC) ที่เข้าซื้อทองคำต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน ล่าสุดในเดือนมิถุนายน 2025 PBOC ซื้อเพิ่มอีก 70,000 ทรอยออนซ์ (ราว 2.17 ตัน) ทำให้ยอดถือครองรวมพุ่งขึ้นเป็น 2,299 ตัน ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า “ทองคำ” กำลังกลับมาเป็นทรัพย์สินเชิงกลยุทธ์ของประเทศมหาอำนาจ

ที่มา: World Gold Council, ฮั่วเซ่งเฮง
ที่มา: World Gold Council, ฮั่วเซ่งเฮง

กองทุน ETF ทองคำร้อนแรง แตะระดับสูงสุดในรอบ 5 ปี

ความต้องการทองคำในฝั่งนักลงทุนสถาบันก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยข้อมูลจาก World Gold Council ระบุว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2025 เงินทุนไหลเข้าสู่กองทุน ETF ทองคำทั่วโลกสูงถึง 3.8 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือกว่า 1.24 ล้านล้านบาท เพิ่มการถือครองทองคำกว่า 397.1 ตัน ส่งผลให้ยอดทองคำสะสมรวมของ ETF ทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 3,615.9 ตัน ซึ่งใกล้เคียงกับระดับสูงสุดในประวัติการณ์ช่วงปี 2020

สหรัฐฯ เป็นผู้นำในการดึงดูดเงินทุน ด้วยการเพิ่มการถือครองทองคำกว่า 206.8 ตัน ขณะที่กองทุนในเอเชียก็มีบทบาทโดดเด่นเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้นถึง 104.3 ตัน ปรากฏการณ์นี้สะท้อนภาพความไม่เชื่อมั่นในระบบการเงินกระแสหลัก และการหันกลับมาพึ่งพาสินทรัพย์ที่มีมูลค่าในระยะยาวอย่างทองคำ

ตลาดลดคาดการณ์เฟดลดดอกเบี้ย เหลือเพียง 2 ครั้ง

แม้ดอลลาร์จะอ่อนค่าในภาพรวม แต่ช่วงสั้น ๆ ราคาทองเคยเผชิญแรงกดดันบ้างจากการที่ตลาดเริ่มลดคาดการณ์จำนวนครั้งที่ Fed จะปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ จากเดิม 3 ครั้ง เหลือเพียง 2 ครั้ง ตามข้อมูลจาก CME FedWatch Tool โดยประเมินว่า Fed อาจเริ่มลดดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนกันยายน และอีกครั้งในเดือนธันวาคม หลังจากตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ แข็งแกร่งกว่าที่คาด

ที่มา CME FedWatch Tool | 13 ก.ค. 68
ที่มา CME FedWatch Tool | 13 ก.ค. 68

ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามสัปดาห์นี้

  • การเจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ จับตาการเจรจาการค้าของอินเดียที่ใกล้สำเร็จเป็นประเทศต่อไป และทรัมป์จะส่งจดหมายเรียกเก็บภาษีกับประเทศใดต่อไป
  • วันอังคารที่ 15 ก.ค. เวลา 19.30 น.สหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย. ตลาดคาดการณ์ขยายตัวสู่ระดับ 0.3% จากเดิม 0.1% เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่คาดการณ์ขยายตัวสู่ระดับ 2.6% จากเดิม 2.4% เมื่อเทียบรายปี และเวลาเดียวกัน ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) เดือนมิ.ย. ตลาดคาดการณ์ ตลาดคาดการณ์ขยายตัวสู่ระดับ 0.3% จากเดิม 0.1% เมื่อเทียบรายเดือน
  • วันพุธที่ 16 ก.ค. เวลา 19.30 น. สหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมิ.ย. ตลาดคาดการณ์ขยายตัวสู่ระดับ 0.3% จากเดิม 0.1% เมื่อเทียบรายเดือน และดัชนีราคาผู้ผลิตพื้นฐาน (Core PPI) เดือนมิ.ย. ตลาดคาดการณ์ขยายตัวสู่ระดับ 0.2% จากเดิม 0.1% เมื่อเทียบรายเดือน

แนวโน้มราคาทอง

ที่มา: ฮั่วเซ่งเฮง
ที่มา: ฮั่วเซ่งเฮง

ภาพการเคลื่อนไหวราคาทองในสัปดาห์คาดมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ หลังจากทะลุเทรนแนวโน้มขาลงระยะสั้น แต่การปรับตัวขึ้นอาจมีแนวต้านที่จำกัด จากสัญญาณ Overbought ของ RSI และ Stochastic Oscillators ในกราฟราย 4 ชั่วโมง กลยุทธ์แนะนำนักลงทุนทองคำแท่งที่มีสถานะซื้อ สามารถทยอยขายปิดทำกำไรบางส่วน เมื่อราคาทองคำปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านบริเวณ 3,375 ดอลลาร์ และถัดไปที่ระดับ 3,400 ดอลลาร์ (หรือราคาทองคำแท่งประมาณบาทละ 51,600 และ 51,900 บาท) และสามารถกลับมาทยอยเปิดสถานะซื้อสะสมรอบใหม่เมื่อราคาปรับตัวลงปรับฐานบริเวณแนวรับ 3,330 และ 3,300 ดอลลาร์ (หรือราคาทองคำแท่งประมาณบาทละ 51,150 และ 50,800 บาท) โดยมีจุดตัดขาดทุนเมื่อราคาทองโลกหลุดต่ำกว่า 3,280 ดอลลาร์

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์