ทองยังแรงไม่หยุด จับตาชัตดาวน์สหรัฐฯ ยืดเยื้อ จุดชนวนแรงซื้อรอบใหม่

6 ต.ค. 2568 - 04:13

  • ทองแรงไม่หยุด! ราคาทะลุแนวต้าน 3,900 ดอลลาร์ คาดทำจุดสูงสุดใหม่ต่อ

  • สหรัฐฯ ชัตดาวน์รอบใหม่ อาจกระทบเศรษฐกิจวันละ 400 ล้านดอลลาร์ และยืดเยื้อถึง 15 ต.ค.

  • เฟดส่อหยุดลดงบดุล (QT) หลังทุนสำรองระบบธนาคารต่ำสุดในรอบปี หนุนแรงซื้อทองคำ

ทองยังแรงไม่หยุด จับตาชัตดาวน์สหรัฐฯ ยืดเยื้อ จุดชนวนแรงซื้อรอบใหม่

ราคาทองโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 7 ล่าสุดเช้านี้ทะลุ 3,900 ดอลลาร์ ทำจุดสูงสุด 3,920 ดอลลาร์ ได้รับปัจจัยหนุนจากสหรัฐฯ ไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณได้ทันวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา ส่งผลให้หน่วยงานรัฐหลายแห่งเข้าสู่ภาวะ “ชัตดาวน์” ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 7 ปี และต่อเนื่องจากสมัยทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 1

ความกังวลกับภาวะ “ชัตดาวน์” ในครั้งนี้

สาเหตุของการชัตดาวน์ครั้งนี้เกิดจากความล่าช้าในการผ่านร่างงบประมาณชั่วคราว (Continuing Resolution: CR) ซึ่งสะท้อนถึงความแตกแยกเชิงโครงสร้างทางการเมืองของสหรัฐฯ สร้างกระแสให้เกิดประเด็นในตลาดการเงินทั่วโลก แม้ว่าบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถืออย่าง ฟิซต์ เรทติ้ง และ S&P ประเมินว่าชัตดาวน์สหรัฐฯ ‘ไม่น่ากระทบ’ เรทติ้งระยะสั้น แต่ทั้งนี้ขึ้นกับ ‘ขอบเขต-ระยะเวลา’ ชัตดาวน์

วิกฤตชัตดาวน์ในสมัยทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีครั้งแรก เคยเกิดขึ้นถึง 3 ครั้ง โดยครั้งที่ยาวนานที่สุดคือปลายปี 2018 ถึงต้นปี 2019 ที่ยืดเยื้อถึง 35 วัน เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างพรรคเดโมแครตและประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรื่องงบสร้างกำแพงพรมแดน ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ สูญเสียไปประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์

แต่สำหรับครั้งนี้ ผลกระทบเริ่มชัดเจนเมื่อเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางราว 750,000–850,000 คน ต้องถูกพักงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง คิดเป็นความเสียหายราว 400 ล้านดอลลาร์ต่อวัน นอกจากนี้ยังมีสัญญาณจากทำเนียบขาวภายใต้การนำของทรัมป์ว่าอาจเลิกจ้างพนักงานถาวร ซึ่งทำให้สถานการณ์ครั้งนี้ตึงเครียดและไม่แน่นอนกว่าที่ผ่านมา

ผลพวงจากการปิดหน่วยงานรัฐฯ ยังรวมถึงการเลื่อนการเผยแพร่รายงานเศรษฐกิจสำคัญของสำนักสถิติแรงงานสหรัฐฯ (BLS) ทั้งตัวเลขการจ้างงานประจำเดือนและข้อมูลเงินเฟ้อ ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนและภาคธุรกิจขาดข้อมูลสำคัญในการตัดสินใจ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมได้อย่างมีนัยสำคัญ

ข้อมูลจากรายงานของสำนักข่าว CNBC ระบุว่า ความน่าจะเป็นล่าสุดชี้ให้เห็นว่าการชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ อาจยืดเยื้อเฉลี่ยราว 11 วัน สะท้อนถึงการคาดการณ์การชัตดาวน์ที่อาจกินระยะเวลา หลังจากการเจรจาที่สภาคองเกรสหยุดชะงัก โดยมีการประเมินว่าโอกาสสูงถึง 67% ที่รัฐบาลจะกลับมาเปิดทำการได้จะอยู่หลังวันที่ 15 ตุลาคมเป็นต้นไป โดยมีความน่าจะเป็นราว 38% ขณะที่ความเป็นไปได้ในการหาทางออกระหว่างวันที่ 6–9 ตุลาคมอยู่ที่ 9% และระหว่างวันที่ 10–14 ตุลาคมอยู่ที่ 24%

ทุนสำรองในระบบธนาคารสหรัฐฯ ลดลงต่ำกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมกราคม

วันที่ 1 ตุลาคม ทุนสำรองในระบบธนาคารสหรัฐฯ อยู่ที่ 2.98 ล้านล้านดอลลาร์ ลดลงประมาณ 20,100 ล้านดอลลาร์ภายในสัปดาห์เดียว ซึ่งสะท้อนถึงความตึงตัวของสภาพคล่องในระบบการเงิน ส่งผลให้ตลาดคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจพิจารณาหยุดลดขนาดงบดุล (QT) เร็วกว่าที่วางแผนไว้

การลดลงของทุนสำรองเกิดจากหลายปัจจัยสำคัญ ประการแรกคือการที่กระทรวงการคลังเร่งออกพันธบัตรหลังการเพิ่มเพดานหนี้ในเดือนกรกฎาคม ส่งผลให้สภาพคล่องส่วนหนึ่งถูกดึงออกจากตลาด ประการที่สองคือวงเงินซื้อคืนพันธบัตรแบบข้ามคืน (RRP) ของเฟด ซึ่งสถาบันการเงินใช้เป็นแหล่งพักเงินสดส่วนเกิน กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ภาระสภาพคล่องไปตกอยู่กับทุนสำรองของธนาคารพาณิชย์โดยตรง นอกจากนี้ ยังมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากธนาคารต่างชาติที่ลดการถือครองเงินสดสำรองในสหรัฐฯ อย่างชัดเจน ซึ่งยิ่งตอกย้ำถึงความตึงตัวที่กำลังขยายตัวทั่วระบบการเงิน

แม้ประธานเฟด เจอโรม พาวเวล จะยืนยันเมื่อไม่นานมานี้ว่าทุนสำรองยังคงอยู่ในระดับสูง แต่การปรับลดอย่างต่อเนื่องทำให้ตลาดมองว่าเฟดใกล้ถึงระดับที่ถือว่า “เพียงพอ” สำหรับการดำเนินนโยบาย QT แล้ว ขณะเดียวกัน ผู้ว่าการคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์มีมุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับระดับสำรองขั้นต่ำที่เหมาะสม โดยบางฝ่ายประเมินว่าควรอยู่ราว 2.7 ล้านล้านดอลลาร์

“ทรัมป์” สั่งเก็บภาษีนำเข้าไม้–เฟอร์นิเจอร์ ขยับขึ้นสูงสุด 50%

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าไม้ซุงและไม้แปรรูปในอัตรา 10% และเฟอร์นิเจอร์ไม้ รวมถึงตู้ครัวและตู้ล้างหน้าในอัตรา 25% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค. 2568 และจะปรับเพิ่มอีกในวันที่ 1 ม.ค. 2569 หากยังไม่บรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ อัตราภาษีสูงสุดอาจถึง 50% มาตรการนี้อ้างเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติภายใต้มาตรา 232 ของกฎหมายการค้าปี 1974 โดยระบุว่าการนำเข้าสินค้าไม้และเฟอร์นิเจอร์กำลังบั่นทอนอุตสาหกรรมไม้ในประเทศ ทำให้โรงงานเสี่ยงปิดกิจการ ห่วงโซ่อุปทานถูกรบกวน และสหรัฐอาจไม่สามารถตอบสนองความต้องการไม้ที่สำคัญต่อการป้องกันประเทศและโครงสร้างพื้นฐานได้ แคนาดาได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากเป็นผู้ส่งออกไม้ซุงรายใหญ่ของสหรัฐฯ และกำลังเผชิญภาษีตอบโต้รวมกว่า 35% ขณะที่รัฐบาลแคนาดาได้จัดสรรเงินช่วยเหลือราว 870 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้ผู้ประกอบการไม้เพื่อบรรเทาผลกระทบ นอกจากนี้ เม็กซิโกและเวียดนามซึ่งเป็นผู้ส่งออกเฟอร์นิเจอร์ไม้รายสำคัญเข้าสหรัฐ ก็จะได้รับแรงกดดันจากภาษีที่อาจเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะตู้ครัวและตู้ล้างหน้า ซึ่งอาจเกือบสองเท่าจากอัตราที่มีอยู่เดิม ประกาศดังกล่าวยังเปิดช่องให้บางประเทศที่มีข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ เช่น สหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ได้รับการผ่อนปรนอัตราภาษีต่ำกว่าผู้อื่น ขณะที่เวียดนามยังไม่มีการบันทึกข้อตกลงอย่างเป็นทางการ ก่อนหน้านี้ องค์การหอการค้าสหรัฐฯ เคยคัดค้านมาตรการจำกัดนำเข้าสินค้าไม้และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยมองว่าการเก็บภาษีจะเพิ่มต้นทุนธุรกิจและการก่อสร้างบ้าน รวมถึงลดรายได้ชุมชนและทำลายความสำเร็จด้านการส่งออกของอุตสาหกรรมกระดาษ

ความเคลื่อนไหวสงครามภูมิรัฐศาสตร์

สงครามตะวันออกยัง “คุกรุ่น”แผนสันติภาพกาซา อาจไม่ใช่คำตอบ หลังนายอิซ อัล-ดิน อัล-ฮัดดัด ผู้บัญชาการกองทัพของกลุ่มฮามาสออกมาต่อต้านแผนสันติภาพกาซาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยระบุว่าแผนดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อกำจัดฮามาส และไม่เชื่อมั่นว่าอิสราเอลจะถอนทัพออกจากกาซาอย่างแท้จริง แหล่งข่าวระบุว่า ฮามาสเรียกร้องให้มีความชัดเจนเกี่ยวกับการยุติการสู้รบอย่างสมบูรณ์ พร้อมทั้งมีหลักประกันจากนานาชาติเพื่อป้องกันการโจมตีครั้งใหม่ และต้องมีกรอบเวลาที่ชัดเจนสำหรับการถอนกำลังอิสราเอล การปล่อยตัวประกันจึงต้องควบคู่กับการถอนทัพ และการฟื้นฟูฉนวนกาซาต้องอยู่ภายใต้การบริหารของชาวปาเลสไตน์เอง ไม่ใช่นานาชาติ ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์เตือนว่าแผนนี้ให้อิสราเอลได้ผลประโยชน์ทันที ขณะที่ปาเลสไตน์ได้เพียงคำมั่นที่คลุมเครือ อาจกลายเป็นการยึดครองรูปแบบใหม่และทำลายแนวทางแก้ปัญหาแบบสองรัฐ

สงครามรัสเซีย – ยูเครน ส่อเค้าบานปลาย หลังผู้นำสหภาพยุโรปเตรียมนำทรัพย์สินที่อายัดจากธนาคารกลางรัสเซียมูลค่า 1.4 แสนล้านยูโร เตรียมส่งให้ทางยูเครนกู้เพื่อทำสงครามต่อ และเป็นทุนเพื่อฟื้นฟูประเทศ อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายละเอียดว่าจะมีการส่งมอบและระยะเวลาการกู้ยืมเงินแต่อย่างใด ขณะที่ทางด้านนางมาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงต่างประเทศของรัสเซีย ที่ระบุว่า รัสเซียจะดำเนินมาตรการตอบโต้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งอาจสร้างความโกรธแค้นไม่ใช่เฉพาะแค่ยูเครน แต่อาจรุกลามไปถึงชาติใน NATO

ประเด็นที่ต้องติดตามในสัปดาห์

หากภายในสัปดาห์นี้หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ กลับมาเปิดทำการ สหรัฐฯ จะกลับมาเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร และ อัตราการว่างงาน เดือนก.ย. ในวันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม

คืนวันที่ 8 ตุลาคม เวลา 01.00 น.

-        ธนาคารกลางสหรัฐฯ เผยรายงานการประชุม วันที่ 16-17 ก.ย.

วันที่ 9 ตุลาคม เวลา 19.30 น.

-        การแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด

แนวโน้มราคาทอง

ภาพการเคลื่อนไหวราคาทองยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น เช้านี้ราคาทองสามารถทะลุแนวต้านจิตวิทยาที่ 3,900 ดอลลาร์ขึ้นมาได้ ส่งผลให้ภายในสัปดาห์คาดมีโอกาสทำจุดสูงใหม่ได้ต่อเนื่อง โดยมีแนวต้านที่ 3,930 ดอลลาร์ ตามเป้าหมายราคาทองที่ทางฮั่วเซ่งเฮงคาดการณ์ไว้ และถัดไปที่ 3,970 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวรับที่ 3,890 ดอลลาร์ และ 3,850 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นเส้นเทรนแนวโน้มขาขึ้นด้านล่าง

นักลงทุนทองคำแท่งที่มีสถานะซื้อ แนะนำถือครองทองต่อไป (Let Profit Run) รอทยอยขายปิดทำกำไรเมื่อราคาทองปรับตัวขึ้นบริเวณ 60,500 บาท โดยมีจุดเข้าซื้อสะสมรอบใหม่ที่ 59,300 บาท และมีจุดตัดขาดทุนหากราคาทองหลุดต่ำกว่า 3,820 ดอลลาร์ หรือประมาณบาทละ 58,600 บาท

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์