ภายใต้สงครามภาษี ‘Trump’s Tariffs’ ไทยเผชิญปัญหาโครงสร้างภาษีและอุปสรรคการค้า เร่งปฏิรูปเพื่อรอดและเติบโตในเวทีโลก
เมื่อสงครามภาษีระหว่างสหรัฐฯ กับจีนภายใต้นโยบายของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลายเป็นตัวเร่งให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างเศรษฐกิจโลก ไทยในฐานะประเทศส่งออกที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งในด้านโครงสร้างภาษีและอุปสรรคการค้านำเข้า ซึ่งเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกมาอย่างเข้มข้นในงานเสวนา “Trump’s Tariffs: ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร?” ซึ่งจัดโดย สมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย ร่วมสะท้อนทางรอดของไทย ในท่ามกลางความตึงเครียดจากการที่สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีศุลกากร 19% ต่อสินค้าไทยหลายรายการ โดยมีนักวิชาการ นักการทูต และผู้นำภาคธุรกิจร่วมวิเคราะห์สถานการณ์และเสนอแนวทางรับมืออย่างรอบด้าน
โครงสร้างภาษีและอุปสรรคทางการค้านำเข้า ฉุดศักยภาพการแข่งขันไทยในตลาดสหรัฐ
รศ.ดร. นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เปิดเผยว่า ปัญหาหลักที่ไทยต้องเผชิญคือความเหลื่อมล้ำในโครงสร้างภาษีที่ยังสูง สินค้าวัตถุดิบหลายประเภทมีภาษีต่ำ แต่สินค้าสำเร็จรูปและสินค้าเกษตรบางกลุ่มต้องเผชิญภาษีนำเข้าสูงถึง 50-80% ซึ่งสร้างกำแพงภาษีทำให้ต้นทุนผู้ประกอบการสูงขึ้นและจำกัดโอกาสการเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ

นอกจากนี้ ยังมีอุปสรรคไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers : NTB) เช่น โควต้านำเข้า ใบอนุญาตนำเข้า และความซับซ้อนของด่านศุลกากร ซึ่งถูกสหรัฐฯ ใช้เป็นข้อกังวลสำคัญในการเจรจาการค้า
รศ.ดร.นิพนธ์ เน้นถึงผลกระทบต่อภาคเกษตรและอุตสาหกรรม เช่น กุ้ง ทูน่า และยางพารา ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ขณะเดียวกันการเปิดเสรีวัตถุดิบอาหารสัตว์ เช่น ข้าวโพดและถั่วเหลือง ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์
แต่ก็ต้องยอมรับว่าชาวไร่ข้าวโพดบางส่วนโดยเฉพาะในพื้นที่สูงจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนอาชีพ รวมถึงความกังวลเรื่องมาตรฐานสุขอนามัยและการใช้สารเร่งเนื้อแดงในหมูที่ไทยยังควบคุมเข้มงวด
‘ดร.กอบศักดิ์’ เตือนสงครามภาษีเป็นเพียงจุดเริ่มต้น พร้อมจับตาสงครามเทคโนโลยี-การเงิน
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย เตือนว่ามาตรการภาษีของสหรัฐฯ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่อาจขยายไปสู่สงครามเทคโนโลยี การเงิน และภูมิรัฐศาสตร์ในอนาคต โดยปัญหาทางโครงสร้างเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เช่น ขาดดุลการค้าและงบประมาณมหาศาล เป็นแรงผลักดันให้รัฐบาลเลือกใช้ภาษีสินค้านำเข้าเป็นเครื่องมือเพิ่มรายได้
นอกจากนี้ การเติบโตอย่างรวดเร็วของจีนในฐานะมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ ทำให้สหรัฐฯ รู้สึกถูกคุกคามและออกมาตรการตอบโต้ที่ยาวนาน ไม่ใช่เรื่องชั่วคราว

สำหรับไทย แม้จะได้รับการจัดให้อยู่ในระดับภาษีเฉลี่ย 19% ซึ่งดีกว่าประเทศในภูมิภาคอื่น แต่ต้องเฝ้าระวังมาตรการใหม่ที่จะขยายไปยังประเด็นอื่น ๆ เช่น การใช้ประเทศที่สามส่งสินค้า เทคโนโลยีดิจิทัล และระบบชำระเงิน
ดร.กอบศักดิ์เสนอให้ไทยเตรียมความพร้อมด้วยแนวทางเจรจาที่รอบด้าน และข้อเสนอแลกเปลี่ยนที่จับต้องได้ เช่น การลงทุนร่วมและการซื้อสินค้าอเมริกันบางประเภท เพื่อรักษาสิทธิพิเศษทางการค้า และลดแรงกดดัน
‘สัมพันธ์ ศิลปนาฎ’ แนะรัฐเร่งสร้าง Local Content และหนุน FDI
สัมพันธ์ ศิลปนาฎ นายกสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ ระบุว่า แม้สงครามภาษีจะสร้างแรงกดดัน แต่ไทยยังมีโอกาส เนื่องจากสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำคัญยังได้รับสิทธิภาษี 0% จากสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์และดิจิทัลสตอเรจ อย่างไรก็ตาม สินค้าบางกลุ่มเริ่มถูกเก็บภาษีสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อความสามารถการแข่งขัน เนื่องจากต้นทุนบางอุตสาหกรรมมีมาร์จิ้นบาง

ในด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ไทยยังได้รับความเชื่อมั่นสูง โดยไตรมาสแรกของปีนี้ FDI สูงกว่า 1 ล้านล้านบาท และไม่มีสัญญาณว่าฐานการผลิตจะย้ายไปประเทศอื่น
จุดอ่อนสำคัญ คือการสร้าง Local Content ที่ยังไม่แข็งแกร่ง แม้จะพยายามมากว่า 30 ปี เนื่องจากข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีและความยากลำบากในการเปลี่ยนซัพพลายเออร์
ดร.สัมพันธ์เสนอให้ภาครัฐทำหน้าที่แม่ทัพผลักดันการสร้าง Local Content โดยบูรณาการทุกภาคส่วน เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยมีบทบาทในห่วงโซ่อิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก
เขายังเตือนว่าความไม่แน่นอนในสงครามการค้าอาจพลิกผันได้ตลอดเวลา จึงต้องตั้งเป้าหมายระยะยาวและไม่หวั่นไหวกับกระแสระยะสั้น

‘ประสิทธ์ บุญดวงประเสริฐ’ มองโอกาสทองอุตฯอาหารสัตว์ แต่หวั่น ‘หมูอเมริกา’ กระทบระบบคุมสารเร่งเนื้อแดง
ประสิทธ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ชี้ว่า การเจรจาข้อตกลงการค้าไทย-สหรัฐครั้งล่าสุดเปิดโอกาสสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และเกษตรไทย โดยเฉพาะการนำเข้าข้าวโพดและกากถั่วเหลืองต้นทุนต่ำจากสหรัฐฯ ซึ่งช่วยประหยัดต้นทุนได้มากถึง 6,000 ล้านบาท และรวมกับการเปลี่ยนแหล่งนำเข้าเป็นสหรัฐฯ จะมีเงินหมุนเวียนในภาคอุตสาหกรรมกว่า 48,000 ล้านบาท
วัตถุดิบจากสหรัฐฯ ยังมีจุดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม เพราะไม่มีการเผาป่าซึ่งช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์ ทำให้ไทยได้เปรียบในตลาดที่ให้ความสำคัญกับ ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล)

อย่างไรก็ดี ประสิทธ์แสดงความกังวลต่อการเปิดนำเข้าหมูจากสหรัฐฯ ภายใต้โควตา 10,000 ตัน เนื่องจากมาตรฐาน Codex อนุญาตสารเร่งเนื้อแดง (ractopamine) ซึ่งไทยควบคุมเข้มงวดมานานกว่า 30 ปี หากอนุญาตให้นำเข้า อาจทำลายระบบควบคุมและสร้างผลกระทบระยะยาว
เขายังเตือนถึงความเสี่ยงหมูเถื่อนและการสวมสิทธิ์นำเข้าที่อาจกลับมาอีกครั้ง หากไม่มีมาตรการควบคุมที่เข้มงวด
ประสิทธ์ ย้ำท้าย อุตสาหกรรมพร้อมร่วมมือในการปรับแหล่งนำเข้าและสนับสนุนการเจรจา แต่รัฐต้องเร่งวางระบบควบคุมสินค้าอ่อนไหวเพื่อรักษาความเชื่อมั่นตลาดและมาตรฐานอาหารของไทย
‘พิศาล มาณวพัฒน์’ ชี้ภาษีทรัมป์คือเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์ ไทยต้องเดินเกมการทูตรอบคอบ
พิศาล มาณวพัฒน์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐฯ วิเคราะห์ว่า นโยบายภาษีของทรัมป์ไม่ได้เป็นเพียงมาตรการเศรษฐกิจ แต่เป็นอาวุธทางภูมิรัฐศาสตร์เพื่อกดดันประเทศต่างๆ รวมถึงไทย เพื่อผลักดันนโยบายและเสริมสร้างอำนาจทางการเมืองของทรัมป์

อดีตทูตไทยประจำสหรัฐฯ ยกตัวอย่างความไม่แน่นอนและความผันผวนของนโยบายภาษีที่ขึ้นอยู่กับอารมณ์และผลประโยชน์ของทรัมป์ เช่น การบังคับให้บริษัทผลิตไอโฟนย้ายฐานกลับสหรัฐฯ หรือใช้ไทยเป็นฐานผลิตแทนจีน นอกจากนี้ พิศาลมองว่า ทรัมป์ใช้มาตรการภาษีเพื่อผลักดันเป้าหมายทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงการเจรจาสันติภาพในภูมิภาคต่าง ๆ ที่สะท้อนถึงเกมการเมืองระดับโลก
เขาแนะนำให้รัฐบาลไทยเร่งเดินเกมการทูตอย่างชัดเจนและรอบคอบ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติในเวทีโลก พร้อมเสนอชื่อทรัมป์รับรางวัลโนเบลสันติภาพ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ดีและลดความเสี่ยงจากมาตรการภาษีในอนาคต
‘ดร.ปณิธาน วัฒนายากร’ ชี้ ภาษีทรัมป์คือเครื่องต่อรองระดับโลก ไม่ใช่แค่การค้า
รศ.ดร. ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการอิสระด้านความมั่นคง ชี้ว่า ไทยกำลังเผชิญสถานการณ์ที่สหรัฐฯ อาจใช้ภาษีเป็นกลไกกดดันประเทศพันธมิตร เพื่อผลักดันผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคง หากทรัมป์กลับมามีอำนาจอีกครั้ง
“ภาษีคืออาวุธการทูต ไม่ใช่แค่เครื่องมือทางเศรษฐกิจ เราจำเป็นต้องตอบโต้ด้วยยุทธศาสตร์ ไม่ใช่แค่การร้องขอยืดหยุ่นทางการค้าแบบรายปี”

ดร.ปณิธาน เสนอให้ตั้ง “ทีมเจรจาแห่งชาติ 3 ขา” ประกอบด้วย
1. ทีมเศรษฐกิจ เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบเชิงโครงสร้าง
2. ทีมความมั่นคง เพื่อเจรจาในฐานะพันธมิตรพิเศษของสหรัฐฯ
3. ทีมเยียวยา เพื่อดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้า
อย่างไรก็ตาม บทสรุปของเวทีเสวนานี้ บ่งชี้ว่า ในสภาวะสงครามภาษีระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ทวีความซับซ้อนและขยายผลกระทบหลากหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และภูมิรัฐศาสตร์ ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับโครงสร้างภาษีและระบบการค้าให้ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลง สร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมภายใน พร้อมทั้งเดินเกมทางการทูตอย่างชาญฉลาดเพื่อรักษาผลประโยชน์ในเวทีโลก
ประเด็นต้องจับตา
· ภาษีศุลกากรอเมริกาอาจเป็นแค่จุดเริ่มต้นของการปรับสมดุลเศรษฐกิจโลก
· ไทยต้องเตรียมพร้อมทั้งระดับนโยบายและปฏิบัติการ ไม่ใช่แค่เฉพาะกิจ
· ‘สินค้ากลุ่มโอกาส’ เช่น อาหาร–เวชภัณฑ์–เซมิคอนดักเตอร์ ควรเร่งพัฒนา
· ‘สินค้ากลุ่มเสี่ยง’ เช่น ยานยนต์–ชิ้นส่วน–สิ่งทอ ต้องจับตาและอาจต้องพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่
· การทูตเศรษฐกิจต้องขยับคู่ขนานกับการเงินและภาษีในประเทศ
