สถานการณ์การปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาในเขตภาคอีสานตลอดแนว ตั้งแต่จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ ผ่านมากว่า 1 สัปดาห์ ยังไม่มีท่าทีสงบลง แม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกาจะโทรหาผู้นำทั้งไทยและกัมพูชา เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายหยุดยิงเดินหน้าสู่สันติภาพ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เสียงปืน ตามแนวชายแดนจนถึงวันนี้(14 ธันวาคม 2568)เบาลงเลยแม้แต่น้อย
ขณะที่ชาวบ้านตามแนวชายแดนไทยกัมพูชาจำนวนมาก ยังคงอยู่ในศูนย์อพยพ มีเพียง ชรบ.และผู้นำหมู่บ้านบางส่วน ที่จัดกำลังผลัดเปลี่ยนอยู่เฝ้าหมู่บ้านและทรัพย์สินให้ประชาชน ส่วนใหญ่กังวลว่า สถานการณ์จะยืดเยื้อ ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และรายได้


สุรพิศ มิ่งขวัญ อายุ 55 ปี ชาวบ้านใน ต.บัดได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ กล่าวว่า ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปะทะตั้งแต่รอบแรก 24 กรกฎาคม ผ่านมา 4 เดือน จนกระทั่งมีการปะทะรอบ 2 ในวันที่ 7 ธันวาคมเป็นต้นมา ชาวบ้านต้องอพยพไปอยู่ศูนย์พักพิงที่ทางจังหวัดจัดให้ห่างไกลวิถีกระสุนตก ส่วนตัวเองเป็นห่วงทรัพย์สิน วัวควายที่มีอยู่กว่า 10 ตัว จึงตัดสินใจอยู่ที่บ้าน อาศัยนอนในบังเกอร์ ส่วนครอบครัว ลูกและภรรยาให้อพยพไปอยู่ที่กรุงเทพฯ
“จนถึงทุกวันนี้ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์ปะทะจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ ได้แต่ภาวนาให้เหตุการณ์ครั้งนี้จบลงด้วยดี เพราะชาวบ้านไม่อยากอยู่ในสภาพที่อึดอัด หวาดระแวง และไม่มีรายได้”

สุรพิศ มิ่งขวัญ กล่าวอีกว่า ก่อนช่วงที่ยังไม่มีเหตุการณ์ปะทะ ชาวบ้านส่วนใหญ่ในแถบชายแดน ไทยกัมพูชา ประกอบอาชีพทำไร่ ทำนา ทำสวน ปลูกยางพารา ปลูกอ้อย เลี้ยงวัว เลี้ยงควาย แต่พอมีเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฏาคม ชาวบ้านก็ไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ โดยเฉพาะช่วงนี้ เป็นช่วงการปะทะอย่างหนัก งานทุกอย่างต้องยุติลง
“ไม่ว่าจะเป็นการรับจ้างกรีดยาง ตัดอ้อย เคยมีรายได้วันละ 250 บาท กลายเป็นว่าไม่มีรายได้แม้แต่บาทเดียว ประกอบกับเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ข้าวยากหมากแพง ยิ่งซ้ำเติมให้ชาวบ้าน มีแต่ความทุกข์ทั้งกายที่ต้องนอนอยู่ในหลุมบังเกอร์ ทั้งใจที่หดหู่ เพราะไม่มีรายได้”

ไม่ต่างจาก เหือน เล็งตามดี อายุ 67 ปี ชาวบ้านตำบลบักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ที่ต้องทิ้งสวนยางหลายวัน ไปอาศัยหลบอยู่ที่บังเกอร์ภายในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เพราะเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย
“ปกติมีรายได้จากการกรีดยาง ซึ่งเป็นพื้นที่ของตัวเองประมาณ 5 ไร่ ทำรายได้วันละ 500 บาท แต่พอเกิดเหตุการณ์ปะทะ รอบ 2 ถือว่าดุเดือด จึงไม่กล้าไปกรีดยาง ยางที่กรีดไว้ยังไม่ได้นำออกจากกะลา น้ำหนักก็จะเบาลงทำให้สูญเสียรายได้ ล่าสุดมีจรวดบีเอ็ม 21 ตกมาในสวนยาง ทำให้ต้นยางเสียหาย ยิ่งตอกย้ำว่าพื้นที่สวนยางก็ไม่ปลอดภัย จึงไม่กล้าออกไปกรีดยาง ส่วนลูกหลาน ให้ย้ายออกไปอยู่ศูนย์อพยพชั่วคราว”
เหือน เล็งตามดี กล่าวอีกว่า อยากให้รัฐบาลและทหารรบกับกัมพูชาให้จบๆ จะได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ เพราะตอนนี้ชาวบ้านตามแนวชายแดน ขาดรายได้ ตั้งแต่ชาวบ้านทั่วไป จนถึงผู้ประกอบการที่รับซื้อน้ำยาง ก็ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้


“หากสถานการณ์ยืดเยื้อ ชาวบ้านจะเดือดร้อนมากกว่านี้ ลำพังแค่ปะทะกัน 2-3 สัปดาห์ ชาวบ้านก็ไม่ไหวแล้ว เพราะไม่มีรายได้มาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน บางส่วนต้องกู้หนี้ยืมสิน ทำให้ตอนนี้ตกอยู่ในสภาวะความเครียด”
ขณะที่ วิรัตน์ เศรษฐวิพัฒนชัย ประธานหอการค้า จ.สุรินทร์ กล่าวว่า ผู้ประกอบการภาคเอกชน ประเมินสถานการณ์ว่าการปะทะชายแดนไทยกัมพูชา อาจจะยืดเยื้อ ซึ่งไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น เพราะจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
“เฉพาะตัวเลขที่ทางหอการค้าจังหวัดสุรินทร์ ประเมินความเสียหายตั้งแต่การปะทะรอบแรก ความตึงเครียดทอดยาวจนถึงปัจจุบัน 4-5 เดือน ส่งผลต่อเศรษญกิจ เสียหายนับพันล้านบาท แบ่งเป็นความเสียหายในภาคการส่งออกเครื่องอุปโภคบริโภค เดือนละ 300-500 ล้านบาท เนื่องจากการปิดด่าน นอกจากนี้ยังมีมูลค่าเสียหายด้านอื่นๆ ทั้งการท่องเที่ยว โรงแรม”
ประธานหอการค้า จ.สุรินทร์ กล่าวอีกว่า ทางหอการค้า จ.สุรินทร์ มีข้อเสนอให้รัฐบาลตั้งแต่การปะทะรอบแรกสิ้นสุดลง คือ อยากให้มีโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นเที่ยวคนละครึ่งในพื้นที่ชายแดน กระตุ้นการใช้บริการภาคโรงแรม รวมทั้งสนับให้หน่วยงานมาจัดอบรมสัมนาในพื้นที่ชายแดน และลดหย่อนภาษี 2 เท่า เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไป ส่วนเรื่องแรงงาน อยากให้รัฐบาลจัดหาแรงงานจากที่อื่นทดแทนแรงงานกัมพูชา ซึ่งพื้นที่สุรินทร์ขาดแคลนแรงงานค่อนข้างเยอะ เนื่องจากแรงงานกัมพูชา เดินทางกลับประเทศหมด

"กรณีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เรียกร้องให้ไทยและกัมพูชาหยุดยิงทันทีนั้น ส่วนตัวมองว่าไม่อยากให้การปะทะหยุดกลางครัน เพราะปัญหาจะไม่จบ ไม่อยากให้ซ้ำรอยเหมือนการปะทะรอบแรก ที่สุดท้ายก็ต้องกลับมาปะทะกันอีก เพราะถ้าหากไม่จบ คนชายแดนก็จะกังวลไม่กล้าใช้ชีวิต คนภายนอกไม่กล้ามาเที่ยว ไม่กล้ามาลงทุน ทำให้พื้นที่ตามแนวชายแดนทั้งอบุลฯ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และบุรีรัมย์ กลายเป็นพื้นที่เสี่ยง ยิ่งทำให้เศรษฐกิจเสียหายหนักกว่าเดิม ตอนนี้อยากให้ทุกอย่างจบลงและมีความชัดเจนมากขึ้น อยากเจ็บครั้งเดียว จบครั้งเดียว ไม่อยากให้ชายแดนเกิดความสุ่มเสี่ยงอยู่ตลอดเวลาอีกแล้ว"


