รัฐบาลเปิดตัวโครงการ ‘คนละครึ่งพลัส’ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก และช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนในช่วงปลายปี 2568 โดยมีวงเงินรวมกว่า 44,000 ล้านบาท ครอบคลุมประชาชนสูงสุด 20 ล้านคน ซึ่งคาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญที่กระตุ้นกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจช่วงปลายปีได้อย่างมีนัยสำคัญ
ใครมีสิทธิ์เข้าร่วม ‘คนละครึ่งพลัส’
โครงการเปิดให้ประชาชนอายุ ตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมได้ผ่านแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ ระหว่างวันที่ 20–26 ตุลาคม 2568 หรือจนกว่าสิทธิจะเต็ม และสามารถใช้จ่ายสิทธิ์ได้ตั้งแต่ 29 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2568 ทุกวันระหว่างเวลา 06.00–23.00 น.
สิทธิ์การใช้จ่ายแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
· กลุ่มผู้มีรายได้อยู่ในระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะได้รับวงเงินสูงสุด 2,400 บาท/คน
· กลุ่มทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษี ได้รับสิทธิ์วงเงินสูงสุด 2,000 บาท/คน
ทั้งนี้ รัฐบาลจะช่วยจ่าย 50% ของยอดซื้อสินค้าและบริการ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งประชาชนต้องจ่ายเอง โดยจำกัดวงเงินใช้จ่ายไม่เกิน 200 บาทต่อวัน
ซื้ออะไรได้บ้างในโครงการคนละครึ่งพลัส
ประชาชนสามารถใช้สิทธิ์ซื้อสินค้าและบริการที่จำเป็นในชีวิตประจำวันจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการทั่วประเทศ เช่น
· อาหารและเครื่องดื่ม
· สินค้าอุปโภคบริโภค
· สินค้าทั่วไปจากร้านค้ารายย่อย ร้านธงฟ้า หรือร้านถุงเงิน
· บริการฟู้ดเดลิเวอรี่ (เริ่มใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2568)
ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการสามารถยืนยันตัวตนและเปิดรับชำระเงินผ่านแอป ‘ถุงเงิน’ โดยระบบจะเชื่อมต่อกับแอป ‘เป๋าตัง’ ของผู้ใช้สิทธิ์โดยตรง เพื่อให้การชำระเงินปลอดภัยและโปร่งใส
ซื้ออะไรไม่ได้ในโครงการนี้
รัฐบาลกำหนด ข้อจำกัดในการใช้สิทธิ์ เพื่อให้การสนับสนุนเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ โดยไม่สามารถใช้สิทธิ์กับสินค้าหรือบริการบางประเภทได้ เช่น
· สลากกินแบ่งรัฐบาล (ลอตเตอรี่)
· สุรา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และบุหรี่
· บัตรกำนัล (Gift Voucher) หรือบัตรเติมเงิน
· การชำระค่าสาธารณูปโภค หรือบริการทางการเงิน
หากผู้ใช้สิทธิ์ฝ่าฝืนและนำสิทธิ์ไปใช้ในรายการต้องห้าม อาจถูก ตัดสิทธิ์เข้าร่วมโครงการทันที และอาจถูกตรวจสอบเพิ่มเติมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โครงการ ‘คนละครึ่งพลัส’ ถือเป็นมาตรการต่อยอดจากความสำเร็จของ ‘คนละครึ่ง’ รุ่นก่อนหน้า โดยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับกลุ่มประชาชนวัยทำงานและเยาวชน ช่วยพยุงกำลังซื้อในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว พร้อมกระจายรายได้สู่ร้านค้ารายย่อยทั่วประเทศ
ภาครัฐคาดว่าเม็ดเงินหมุนเวียนจากโครงการนี้จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 80,000 ล้านบาท ภายในสิ้นปี 2568 และช่วยสร้างแรงส่งสำคัญให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืนในปี 2569


