สถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ของภาคใต้ปีนี้ส่งผลให้รถยนต์เสียหายจำนวนมาก ทั้งจากน้ำท่วมขังในบ้าน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นคลองอย่างฉับพลัน หลายคันเครื่องดับกลางทาง หลายคันจอดทิ้งไว้แล้วมิดถึงกระจก ทำให้เจ้าของรถจำนวนมากเริ่มกังวลว่า ‘แบบนี้ประกันจะจ่ายไหม และต้องทำอย่างไรจึงเคลมได้’
ประกันชั้น 1 คุ้มครองครบ – น้ำท่วมเคลมได้
บริษัทประกันภัย ยืนยันว่า ประกันรถยนต์ชั้น 1 คุ้มครองความเสียหายจากน้ำท่วมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น
· น้ำเข้าห้องเครื่อง
· น้ำเข้าห้องโดยสาร
· รถจอดทิ้งไว้แล้วถูกน้ำท่วม
· ฝนตกหนักทำให้รถดับ
หากความเสียหายรุนแรงจนซ่อมไม่คุ้ม บริษัทอาจพิจารณาจ่ายแบบ รถเสียหายทั้งหมด (Total Loss) โดยจ่ายตามทุนประกันที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
ขับลุยน้ำจนเครื่องดับ อาจมีเงื่อนไขเพิ่มเติม
แม้ประกันชั้น 1 จะครอบคลุม แต่บางกรณีที่รถ ‘ขับลุยน้ำลึกจนเครื่องยนต์ดับ’ อาจถูกตีความว่าเป็นการใช้งานเสี่ยงเกินไป ทำให้บางบริษัทอาจไม่คุ้มครองความเสียหายของเครื่องยนต์โดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม ส่วนอื่นของรถยังสามารถเคลมได้เหมือนเดิม ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัท
ประกันชั้น 2+ และ 3+ ต้องเช็กการคุ้มครอง
ประกันชั้น 2+ และ 3+ จะคุ้มครองน้ำท่วมเฉพาะกรณีที่ในกรมธรรม์มีระบุ “ภัยธรรมชาติ” หรือ “น้ำท่วม” ไว้เท่านั้น หากไม่มีระบุไว้ จะไม่ครอบคลุมน้ำท่วมแม้เกิดจากเหตุการณ์รุนแรงก็ตาม
ส่วนประกันชั้น 2 และ 3 แบบปกติ ไม่คุ้มครองน้ำท่วม ทุกกรณี
เคลมอย่างไรให้ได้ผลเร็ว เพื่อให้กระบวนการเคลมเป็นไปอย่างรวดเร็วในช่วงที่บริษัทประกันงานล้น ควรทำดังนี้
· ถ่ายภาพรถในสภาพถูกน้ำท่วมเก็บไว้เป็นหลักฐาน
· ไม่ควรสตาร์ตรถ หากน้ำสูงเกินพื้นรถหรือเข้าห้องเครื่อง
· ติดต่อบริษัทประกันเพื่อขอรถยก
· ส่งข้อมูลและเอกสารให้ครบ ภาพถ่าย สถานที่ เวลาเกิดเหตุ
หลายบริษัทมีระบบเคลมผ่านไลน์หรือแอป ทำให้ขั้นตอนรวดเร็วขึ้น แม้อยู่ในพื้นที่น้ำท่วมยังไม่ลด
ทั้งนี้ประชาชนภาคใต้ได้รับผลกระทบจำนวนมาก จำนวนรถที่ได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมซ้ำ และบางจังหวัดระดับน้ำสูงจนรถหลายคันเสียหายทั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องยนต์ ทำให้การเคลมประกันกลายเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับผู้ใช้รถในช่วงนี้


