หลังจาก ปี 2555 เป็นต้นมา จังหวัดเชียงใหม่ คือหนึ่งในหมุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจีน เดินทางมาเที่ยวจำนวนมาก และเป็นกระแสนิยมของคนจีนอย่างมาก ผ่านมากว่า 10 ปี จากกระแสนักท่องเที่ยว กลายเป็นกระแสนักลงทุกครบวงจร ที่จังหวัดเชียงใหม่ เริ่มมี ป้ายร้านค้าภาษาจีน หมู่บ้านจัดสรร แหล่งรวมที่อยู่อาศัยของคนจีน ผ่านระบบทุนนอมินี ที่เริ่มมีมากขึ้น

ที่ผ่านมา พบว่า ธุรกิจบ้านจัดสรร ในย่านถนนวงแหวนรอบ 2 และถนนวงแหวนรอบ 3 ในพื้นที่อำเภอหางดง, อำเภอสันกำแพง, อำเภอสันทราย รวมถึง โรงแรมขนาดเล็ก - ขนาดกลาง และร้านอาหาร กว่า 100 แห่ง ในพื้นที่เมืองเชียงใหม่ ปัจจุบัน ได้ถูกเปลี่ยนมือ จากเจ้าของคนไทยไปเป็นของนักลงทุนชาวจีน ซื้อกิจการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ที่มีมูลค่าการลงทุนเกินกว่า 1 พันล้านบาท
ดร.ดนัยธัญ พงษ์พัชราธรเทพ หัวหน้าศูนย์ China Intelligence Center (CIC) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า เนื่องจากคนจีนตั้งเป้าให้เชียงใหม่เป็นบ้านหลังที่สอง เพราะต้นทุนการเดินทางถูก ราคาที่พัก หรืออสังหาริมทรัพย์ของเชียงใหม่ถูกกว่าในจีน ทำให้เกิดธุรกิจที่มีบริษัทจีนมาลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และเปิดให้คนจีนซื้อ แต่ทำสัญญากันในประเทศจีน เกิดขึ้นมาแล้ว

“ข้อดี จะทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดเชียงใหม่จากที่เคยซบเซากลับมาเติบโต แต่ข้อเสียหากไม่มีการป้องกันระบบนอมินี มูลค่าและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจะตกอยู่กับคนจีนไม่ใช่คนไทย”
“ผลประโยชน์ที่กลุ่มคนจีนหาได้จากการมาทำธุรกิจในจังหวัดเชียงใหม่ ที่ไม่จำเป็นต้องเสียภาษี หรือ อะไรต่างๆ ในลักษณะนี้ ก็ไม่เป็นธรรมต่อประเทศไทย เพราะฉะนั้นในทั้งมุมที่เป็นข้อดี เราไม่ควรที่จะไปกีดกัน ถ้าหากว่าเป็นการลงทุนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ในขณะเดียวกันในมุมที่เป็นจุดน่ากังวล คือการทำธุรกิจผ่านระบบนอมินี อันนี้แหละที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ควรเพิกเฉย”
ด้าน มานพ คีรีภูวดล สส.พรรคประชาชน กล่าวว่า กรณีที่ทุนจีนเข้ามาลงทุนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ทั้งอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจร้านอาหารนั้นมีมานานแล้ว บางหมู่บ้านจัดสรรเป็นคนจีนทั้งหมดที่อาศัยอยู่ ในแง่ของกลุ่มที่เข้ามาถูกกฎหมาย ก็จะเป็นผลดีต่อเรื่องเศรษฐกิจ รวมถึงการศึกษาที่เด็กต่างชาติมาเรียนในจังหวัดเชียงใหม่ แต่ความซับซ้อนคือว่ากลุ่มเหล่านี้เข้ามาต้องมาประกอบอาชีพด้วย ซึ่งจะมีช่องว่างทางกฎหมายอยู่ เช่น ประกอบธุรกิจมีนอมินี

“จุดอ่อนที่เราต้องปรับปรุง คือ ระเบียบและข้อกฎหมาย สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเสนอให้รัฐบาล เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดู ทบทวนระเบียบข้อกฎหมายตัวไหนบ้าง ที่บังคับใช้ได้เลย ส่วนอันไหนที่เราไม่มี เราก็ต้องร่างกฎหมายใหม่ให้เท่าทันสถานการณ์ และจะทำให้ทั้งตำรวจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ดูแลในพื้นที่ไม่สามารถดำเนินการได้ หากละเลยไปถึงการใช้อำนาจและเงินจนสามารถเปลี่ยนสัญชาติได้ก็จะส่งผลกระทบเพิ่มขึ้น”
“เพราะเราไม่ใช่ปฏิเสธเพื่อนบ้านที่เข้ามาอยู่อาศัยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่เรามองถึงการเข้ามาใช้ประโยชน์ในทางมิชอบ และอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมาย เผื่อเข้ามาประกอบการธุรกิจสีเทา อาชญากรรมข้ามชาติ ขบวนการฟอกเงิน ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก”

ขณะที่ พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผู้บัญชาการตำรวจผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 กล่าวยอมรับว่า ช่วงที่ผ่านมา การจับกุมแก๊งจีนเทาในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการคอลเซ็นเตอร์ และหลายๆ คดีที่จับกุมได้พบว่า ชาวจีนบางส่วนที่เข้ามาอาศัยในจังหวัดเชียงใหม่ อาศัยช่องโหว่ทางกฎหมาย ทั้งการเช่าบ้าน ซื้อบ้าน และพำนักระยะยาว เพื่ออยู่อาศัยในจังหวัดเชียงใหม่
“นอกจากนี้การเข้ามาอาศัยระยะยาวของคนจีน ใช้ช่องว่างทางกฎหมาย เปลี่ยนจากวีซ่าท่องเที่ยว เป็นวีซ่านักศึกษา ที่มีการสมัครเรียนแต่ไม่มาเรียนจริง โดยใช้วีซ่าของการเป็นนักศึกษาเข้ามาก่ออาชญากรรมในพื้นที่ ปัจจุบันมีการออกวีซ่านักศึกษาให้กับคนจีนแล้ว ประมาณ 13,000 คน ซึ่งคาดว่าเกินกว่า ร้อยละ 50 ของจำนวนนี้ ใช้วีซ่านักศึกษาผิดวัตถุประสงค์ ซึ่งก็ได้ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เพื่อปราบปรามกลุ่มคนเหล่านี้ รวมถึงการเข้ามาอย่างผิดกฎหมายในลักษณะอื่นๆ ด้วย”
สำหรับช่องโหว่ทางกฎหมายที่คนต่างชาติมักใช้เพื่อเข้ามา อาศัย และประกอบธุรกิจในประเทศไทยคือ พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ที่ห้ามต่างชาติถือหุ้นเกิน 49% ในธุรกิจบางประเภท แต่ไม่มีมาตรการตรวจสอบย้อนกลับที่ชัดเจน ในการตรวจสอบผู้ถือหุ้นที่การ หรือ การใช้ชื่อบุคคลอื่น และการทำสัญญาแอบแฝงผ่านนิติบุคคลที่เป็นคนไทย ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้กับต่างชาติเข้ามาครอบครองกิจการโดยพฤตินัยได้อย่างชัดเจน


