วิรัตน์ เศรษฐพัฒนชัยประธานหอการค้าจังหวัดสุรินทร์ กล่าวว่า หลังจากจังหวัดสุรินทร์ประกาศเขตภัยพิบัติสงคราม จากเหตุที่มีการปะทะกันของทหาร 2 ฝ่ายไทย-กัมพูชา โดยมี 4 อำเภอที่ได้รับผลกระทบจากการปะทะกันครั้งนี้ คือ อำเภอบัวเชด สังขะ กาบเชิง และอำเภอพนมดงรัก สถานการณ์อาจมีความรุนแรง อาจส่งผลกระทบต่อสถานที่สำคัญ เช่น ร้านสะดวกซื้อ สถานบริการสาธารณสุข สถานีบริการน้ำมัน รวมทั้งพื้นที่ชุมชน จึงต้องอพยพประชาชนออกมาอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ
อำเภอที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยตรง คือ จุดผ่านแดนช่องจอม หนึ่งในสี่ด่านสำคัญของภาคอีสาน จุดยุทธศาสตร์สำคัญการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา สินค้าหลักที่ไทยนำเข้าจากกัมพูชาล้วนเป็นสินค้าทางการเกษตร เช่น มันเส้น หัวมันสด มะม่วง ขณะที่สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปยังกัมพูชา ส่วนใหญ่เป็นเชื้อเพลิง วัสดุก่อสร้าง และสินค้าอุปโภคบริโภค มูลค่าส่งออกปีที่ผ่านมามีมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท
ระยะแรกที่มีความขัดแย้งนำไปสู่การปรับเปลี่ยนเวลาเปิดปิดด่านเหลือเพียง 3 วันต่อสัปดาห์ ทำให้มูลค่าทางเศรษฐกิจลดลงถึงร้อยละ 30 เมื่อสถานการณ์ไม่คลี่คลายทำให้ด่านช่องจอมต้องปิดด่านการค้าอย่างไม่มีกำหนด บรรยากาศการค้าถือว่าเป็นศูนย์มูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่าวันละ 500 ล้านบาท

วิรัตน์ ประเมินว่า กลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้าแม่ค้าตามแนวชายแดน ที่ค้าขายกับชาวกัมพูชาและ นักท่องเที่ยวเป็นหลัก ที่ต้องปิดร้านไม่มีรายได้ บางรายมีสต๊อกสินค้าคงค้าง บางรายการอย่างเช่นนมกล่องที่มีวันหมดอายุกำลังจะได้รับความเสียหาย
“การปะทะกันในครั้งนี้ ถือว่ายืดเยื้อและรุนแรงกว่าปี 2554 ครั้งนี้การสู้รบใช้อาวุธหนักและทันสมัยมากขึ้น ส่งผลให้ประชาชนกังวลหยุดการค้าขายเพื่อความปลอดภัย กลุ่มพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยมีเงินลงทุนไม่มากนัก สายป่านสั้นจึงเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด สถานการณ์ชายแดนเริ่มยืดเยื้อ การปิดด่านขยายเวลาออกไปอย่างไม่มีกำหนด ทำให้ผลกระทบขยายวงกว้างเกินกว่าที่ทางหอการค้าได้ประเมินไว้ ประเด็นที่หอการค้าต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการทันที คือ การวางแผนเตรียมนโยบาย มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย”
“หากเหตุการณ์กลับมาปกติ จะเดินหน้าค้าขายได้ทันที ไม่ต้องรอให้สถานการณ์คลี่คลาย รอให้เปิดด่าน เพราะหากให้เหตุการณ์ปกติต้องใช้เวลาเกรงว่าจะไม่ทันต่อความเดือดร้อน แม้ว่าทั้งสองฝ่ายมีการเจรจาหยุดยิงแล้ว แต่เป็นเพียงการเจรจาเบื้องต้นไม่มีความชัดเจนว่าการเจรจาจบลงเมื่อไร อย่างไร จึงยังไม่สามารถบอกว่าผลกระทบจะมีในส่วนใดบ้าง ยังมองภาพไม่ชัดเจน”
“อย่างไรก็ตาม ยังคงเชื่อมั่นว่ารัฐบาลต้องเจรจาเพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด เพราะหากสถานการณ์ยืดเยื้อเป็นปี เศรษฐกิจการค้าชายแดนของทั้งสองประเทศแย่ลง ไม่มีใครได้ประโยชน์จากเรื่องนี้”วิรัตน์ กล่าว

ด้าน หัตถชัย เพ็งแจ่มรองประธานหอการค้าจังหวัดศรีษะเกษ และประธานคณะอนุกรรมการประสานงานประจำจังหวัดชายแดนไทย - กัมพูชา (จังหวัดศรีสะเกษ) กล่าวว่า ด่านการค้าชายแดนช่องสะงำ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ ปิดการขนส่งสินค้ามานานกว่า 1 เดือนแล้ว
จากการพูดคุยกับผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต้องการให้เปิดด่านค้าขายตามปกติ เพราะด่านการค้าแห่งนี้ไม่มีการสู้รบ ดังนั้นผู้ประกอบการทั้งสองฝ่ายจึงต้องการให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้เปิดด่านส่งสินค้าเฉพาะด่านที่ไม่มีการปะทะ เพราะหากยืดเยื้อจะทำให้ทั้งสองประเทศเสียโอกาสด้านการค้า
หัตถชัย กล่าวต่อว่า หากย้อนไปช่วงสถานการณ์เมื่อปี 54 ช่องสะงำมีการเปิดด่านค้าขายกันตามปกติ ปัจจุบันการค้าทำได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น เพราะผู้ประกอบการสั่งซื้อสินค้า-โอนชำระผ่านทางออนไลน์ จากนั้นรถบรรทุกจะมาขนถ่ายสินค้าในพื้นที่ที่กำหนดไว้ เพราะการรับส่งสินค้าจะมีจุดแลกเปลี่ยนสินค้าที่ตลาดเมืองใหม่ช่องสะงำ และผู้ประกอบการทั้งสองฝ่ายไม่ได้เดินทางขนส่งสินค้าเข้าไปในกัมพูชา
“ที่ผ่านมาทั้งสองประเทศต่างพัฒนาโครงการร่วมกัน โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างถนนทางหลวงตัดใหม่ เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างไทยและกัมพูชา พัฒนาเส้นทางเชื่อมการค้าการท่องเที่ยวร่วมกัน จะทำให้การค้าการท่องเที่ยวชายแดนมีความสะดวกมากขึ้น จึงต้องการให้ทั้งสองประเทศได้กลับมาค้าขายกันเหมือนเดิม เพราะด่านนี้ไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เจรจาหาทางออกทางแก้ปัญหาร่วมกัน”
หัตถชัย กล่าวด้วยว่า สำหรับด่านการค้าช่องสะงำไม่ต่างจากด่านอื่นๆ มีสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ยังคงเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะเกลือทางฝั่งไทย ที่ส่งออกเป็นที่ต้องการของตลาดกัมพูชา มีมูลค่าการส่งออกต่อเดือนหลายร้อยล้านบาท ส่วนใหญ่นำเกลือไปใช้ในการหมักดองอาหาร เพราะกัมพูชาไม่มีเกลือจำเป็นต้องนำเข้าเกลือของไทยที่นำมาจาก อ.พิมาย จ.นครราชสีมา

“ที่ผ่านมาผู้ประกอบการมีการพูดคุยเป็นประจำ ส่วนใหญ่รอให้สถานการณ์ชายแดนคลี่คลาย เพื่อให้มีการผ่อนผันเปิดด่านขนส่งสินค้ากันได้ตามปกติ แม้ทางชายแดนจะมีการปะทะกัน แต่ก็ต้องการให้การค้าขายเดินหน้า จึงมีข้อเสนอเรียกร้องกับรัฐบาลคือ ให้มีการพิจารณาเปิดด่านเป็นรายพื้นที่ ขอให้รัฐบาลผ่อนปรนการค้าขายแนวชายแดน”
“โดยด่านใดยังคงมีปัญหาการสู้รบให้ปิดด่านต่อ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน แต่ด่านใดที่ไม่มีการสู้รบไม่มีปัญหาขอให้เปิดให้ผู้ประกอบการได้ค้าขายตามปกติ เพราะระยะเวลาที่ปิดมานานกว่า 1 เดือน ทำให้มีความสูญเสียด้านการค้าเดือนละกว่า 200-300 ล้านบาทแล้ว ประเด็นข้อกังวลคือความยืดเยื้อในการปิดด่าน ตอนนี้มองว่าจะพูดคุยไม่จบ เจรจาไม่เป็นผล และการทำงานของรัฐบาลและทหารไม่ประสานกัน หากปิดด่านการค้านานกว่านี้ พ่อค้าแม่ค้าได้รับผลกระทบ” หัตถชัย กล่าว
จากข้อมูลกรมการค้าต่างประเทศ ระบุว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบของชายแดนไทย-กัมพูชา ช่วงครึ่งปีหลัง 2568 วางนโยบายช่วยเหลือ มาตรการส่งเสริมการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่เริ่มเกิดสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จนถึงปัจจุบัน สำหรับระดับนโยบายได้ประสานงานฝ่ายความมั่นคง และสำนักงานพาณิชย์จังหวัด รวมทั้งสภาธุรกิจเอกชน รวบรวมข้อมูลผลกระทบด้านการขนส่งในเส้นทางชายแดนด้านกัมพูชา รวมทั้งวิเคราะห์ข้อมูลค่าใช้จ่าย ระยะเวลาในเส้นทางขนส่งที่เป็นทางเลือก
ส่วนมาตการระยะสั้นได้จัดมหกรรมการค้าชายแดน เจรจาจับคู่ธุรกิจ เพื่อสร้างโอกาสทางการค้า เพิ่มช่องทางและการเข้าถึงตลาดใหม่ให้ผู้ประกอบการไทย ทดแทนการค้าด้านกัมพูชาที่ได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกันในอนาคตเตรียมประชุมแก้ไขปัญหาอุปสรรคการค้าการลงทุนชายแดนของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไทย-กัมพูชา และมีแผนการจัดมหกรรมการค้าชายแดนต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมและผลักดันมูลค่าการค้าชายแดนผ่านแดนให้เพิ่มขึ้น
มีการเจรจาจับคู่ธุรกิจ สัมมนาให้ความรู้ผู้ประกอบการ สร้างโอกาสทางการค้าให้ภาคธุรกิจ และผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่ชายแดนหรือระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ ประกอบด้วย กิจกรรมการประชุมติดตามสถานการณ์การค้าชายแดนไทย-ประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย